ครั้งแรกในไทย! ผู้พิการทางสายตา ปั่นจักรยานสามัคคีจากกรุงเทพฯ – เชียงใหม่ 867 กม. ระดมทุนสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียน

โครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน สานต่องานที่พ่อทำ No one left behind” เป็นกิจกรรมที่คนตาดีร่วมกับคนพิการทางสายตา ปั่นจักรยานเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระดมเงินบริจาค 67 ล้านบาท เพื่อสร้างศูนย์ฝึกอาชีพคนพิการอาเซียนที่ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2561 ขบวนนักปั่นอาสาและคนพิการทางสายตา 40 คน ร่วมกันปั่นจักรยานในโครงการ “ปั่นไปไม่ทิ้งกัน สานต่องานที่พ่อทำ No one left behind” โดยเริ่มต้นปั่นจักรยานกิโลเมตรแรกที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งระยะทางปั่นทั้งหมดในวันนี้อยู่ที่ 120 กิโลเมตร ปลายทางที่ จ.สุพรรณบุรี ตลอดเส้นทางโดยเฉพาะจุดแวะพัก มีประชาชนนำเงินมาร่วมบริจาค

ศ.วิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ ประธานมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ กล่าวถึงที่มาของการปั่นระดมเงินบริจาคครั้งนี้ว่า ปัจจุบันมีคนพิการที่สามารถทำงานได้ แต่ไม่มีงานทำ 455,990 คน เพราะไม่มีสถานที่รองรับในการฝึกอาชีพ ที่มีอยู่เดิมก็แออัดไม่เพียงพอ รวมถึงและสภาพแวดล้อมยังไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิต ทำให้คนพิการหมดโอกาสในการหารายได้พึ่งพาตนเอง มูลนิธิสากลเพื่อนคนพิการจึงหวังลดข้อจำกัดนี้ โดยจัดสร้างอาคารสถานที่ในที่ดินของมูลนิธิฯ แต่ยังขาดเงินในการก่อสร้าง 67 ล้านบาท

สำหรับเส้นทางการปั่นจักรยานเริ่มจากกรุงเทพฯ ไปถึง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ รวม 9 วันผ่าน 9 จังหวัด ได้แก่ จ.สุพรรณบุรี ชัยนาท นครสวรรค์ พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่ ลำปาง และ จ.เชียงใหม่ ระยะทางรวม 867 กิโลเมตร โดยประชาชนที่ต้องการร่วมบริจาคเงินสามารถติดตามรายละเอียดและช่องทางการบริจาคได้ที่เว็บไซต์และเฟซบุ๊กมูลนิธิสากลเพื่อคนพิการ

เชียงใหม่หน้าฝน ชิลไปตามสภาพอากาศ2วัน2คืน(วันที่2)

มาต่อวันที่ 2 ตามที่นัดไว้กับเพื่อนเป็นเวลา 8:00 น. แต่ก็เลทกันนิดหน่อย
ร้านโจ๊กต้นพยอม
เริ่มต้นมื้อเช้ากันที่ร้านโจ๊กต้นพยอม ซึ่งหมายตาไว้ตั้งแต่เมื่อวานแต่คิวยาวมาก วันนี้คนไม่ค่อยเยอะ จริงๆก็เยอะ แต่ยังพอมีโต๊ะว่าง
ร้านโจ๊กต้นพยอม ตั้งอยู่บนถนนสุเทพ ทางขึ้นดอยสุเทพ ร้านตั้งอยู่ซ้ายมือ สังเกตง่ายๆจะมีต้นพยอมอยู่หน้าร้าน

ร้านโจ๊กต้นพยอม
ร้านโจ๊กต้นพยอม

อาหารราคาไม่แพงค่ะมื้อนี้ประมาณ 160 บาทค่ะ มีโจ๊ก 3 ถ้วย และปาท่องโก๋ชุดนี้ ร้านนี้ไม่ได้มีแค่โจ๊กนะคะ ยังมีเครื่องดื่มอย่างชา กาแฟสด ด้วยค่ะ

วัดผาลาด
หลังจากทานมื้อเช้ากันเรียบร้อย อิ่มท้องเบาๆ ก็เดินทางมุ่งหน้าสู่ดอยสุเทพ ระหว่างทางขึ้นดอยสุเทพ จะมี “วัดผาลาด” หลายคนอาจไม่ได้สนใจกับวัดเล็กๆแห่งนี้ ที่ข้างทางดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เราก็ไปเจอว่าข้างในมีน้ำตกไหลผ่านด้วย

วัดสกิทาคาหรือวัดผาลาด
วิหารพระพุทธเจ้า 5

มีประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา สร้างได้ลงตัวกลมกลืนกับธรรมชาติมากๆ

วัดสกิทาคาหรือวัดผาลาดถ้าอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ หน้าฝนน่าเที่ยว “วัดผาลาด” ลงตัวท่ามกลางธรรมชาติ (ถ้าไม่เขียนแยกรีวิวจะยาวเกินไป)

ดอยปุย

หลังจากเดินเที่ยวชมไหว้พระเรียบร้อยแล้ว ก็ไปต่อที่ดอยปุย ทางขึ้นดอยปุยจะค่อนข้างแคบหน่อยหากใครไม่มั่นใจจะขับเองก็สามารถจอดรถไว้แถวพระตำหนักภูภิงคฯ แล้วเหมารถแดงขึ้นไปก็ได้ค่ะ แต่จริงๆทางก็ไม่ได้น่ากลัวมากขนาดนั้นนะคะ ยังขับเองได้ ส่วนเรากับเพื่อนก็ขับไปกันเอง(หญิงแกร่ง)

ดอยปุยหน้าฝน
รถแดงพาเที่ยวดอยปุย

ที่ดอยปุยจะมีหมู่บ้านม้ง ระหว่างทางขึ้นไปดอยจะมีร้านค้าขายของงานฝีมือของชาวม้ง ตลอดทาง

หมู่บ้านม้งดอยปุย
หมู่บ้านม้งดอยปุย

จะต้องมีค่าขึ้นดอยด้วยคนละ 10 บาท บนดอยก็จะมีดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิดดอยปุย

ร้านกาแฟดอยปุย
ด้านบนมีร้านกาแฟดอยปุย ซึ่งวิวสวยมากถ้ามองจากร้าน ราคากาแฟอยู่ที่แก้วละ 60 บาท ซึ่งเทียบกับวิวและบรรยากาศแบบนี้ ถือว่าไม่แพงเลยค่ะ

ร้านกาแฟม้งดอยปุย
ร้านกาแฟม้งดอยปุย

นั่งจิบกาแฟไป ชมวิวไป สักพักก็มีหมู่ก้อนเมฆที่เคลื่อนมาบดบังภูเขาอีกลูกนึง ทำให้ได้เห็นภาพที่สวยงามมาก แต่ภาพที่เห็นนี้อีกไม่นาน ฝนก็ตก เราก็เลยรีบลงจากดอยเพราะเกรงว่าจะติดฝนอีกนาน กลัวจะเป็นอันตรายตอนเดินทาง

ดอยปุย
ดอยปุย

ดูรีวิวและภาพจากดอยปุยเพิ่มเติมได้ที่ หน้าฝนน่าเที่ยว “ดอยปุย-บ้านม้งดอยปุย”

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
กลับมาจากดอยปุยเราก็แวะพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ที่นี่จัดแสดงสวนดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิดมาก บนเนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ ไปถึงพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ แปบนึงฝนก็ตกปรอยๆ ตกๆหยุดๆค่ะ แต่ก็ไม่มีปัญหาเพราะไม่ได้ตกหนักเป็นแค่ละอองฝน แต่ถ้าใครจะพกผ้ากันฝนหรือร่มไปก็ดีค่ะDSCF1316

สำหรับภาพจากพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ทั้งหมดสามารถดูได้ที่  หน้าฝนน่าเที่ยว “ชมดอกไม้งามที่พระตําหนักภูพิงค์” 

หลังจากเดิมชมดอกไม้ ถ่ายภาพกันจุใจแล้วก็กลับ จริงๆจุดหมายต่อไปคือวัดพระธาตุดอยสุเทพราชวรวิหาร แต่เนื่องด้วยน้ำมันรถที่ใกล้หมด เพราะลืมเช็คก่อนออกเดินทาง ประกอบกับหิวข้าวกันแล้ว เราเลยเปลี่ยนแผนกลับเข้าไปในตัวเมือง บริเวณที่จอดรถนอกพระตำหนักมีร้านขายอาหารของกินอยู่หลายร้าน ก็รองท้องเบาๆกันไป เพราะจุดหมายหลักของมื้อนี้ที่เพื่อนไกด์แนะนำคือ ส้มตำหลวงพระบาง

ส้มตำหลวงพระบาง
ที่นี่มีอาหารลาว แบบสไตล์หลวงพระบางแท้ๆ โดยเมนูเด็ด 2 ศรีพี่น้องที่พลาดไม่ได้คือ ส้มตำหลวงพระบางและส้มตำเวียงจันทร์ 

ส้มตำหลวงพระบาง ส้มตำเวียงจันทร์
ส้มตำหลวงพระบาง(ซ้าย)  ส้มตำเวียงจันทร์(ขวา)

ซึ่งจากการลงคะแนนเสียงของทั้ง 3 สาว โหวตเป็นเสียงเดียวกันว่า ส้มตำหลวงพระบาง(ซ้าย) ชนะเลิศค่ะ
ส้มตำหลวงพระบาง ใส่น้ำปูเข้มข้น ไม่มีปลาร้า รสชาดไม่เผ็ด ตัวเส้นส้มตำจะบางและแผ่นใหญ่ ส่วนส้มตำเวียงจันทร์(ขวา) เส้นจะเล็ก คล้ายๆแบบที่เห็นทั่วไปรสชาดคล้ายส้มตำปูปลาร้า เผ็ดนิดหนึ่ง
นอกจากนี้ยังมีเมนูอื่นๆให้อีกมากมาย อาทิ ไคแผ่น, ต้มแซ่บ ฯลฯ

ส้มตำหลวงพระบาง
เมนูอาหารร้านส้มตำหลวงพระบาง

ซึ่งทั้งหมดนี้คิดค่าเสียหายแล้วอยู่ที่ประมาณ 400++ บาท อิ่มกันถ้วนหน้า

อิ่มหนำสำราญกันด้วยเวลาประมาณ 14:00 น. ก็กลับที่พัก นั่งพักชาร์ตแบตกันสักพัก ก็ออกไปเที่ยวต่อ โดยทริปจากนี้ไปก็คือไหว้พระในตัวเมืองเชียงใหม่

วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร
เชียงใหม่มีวัดเยอะมาก  ด้วยเวลาที่ยังเหลืออีกเยอะ ตอนเย็นเราจะไปเดินถนนคนเดินที่ใหญ่กว่าเมื่อวาน เรียกว่าถนนคนท่าแพ เพื่อนไกด์เลยแนะนำให้จอดรถไว้ในซอยแถวๆถนนคนเดิน ซึ่งวัดที่เราจะไปก็อยู่บนถนนคนเดินด้วย ดังนั้นเราก็จะได้เดินถนนนคนเดิน พร้อมกับแวะไหว้พระไปด้วย ขณะนี้เวลาประมาณ 16:00 น. ร้านหลายๆร้านบนถนนคนเดิน ตั้งร้านยังไม่เสร็จ เราจึงแวะเข้าวัดกันก่อน โดยเริ่มต้นกันที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร พระอารามหลวงเก่าแก่ของเชียงใหม่ เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ วัดเจดีย์หลวง

พระวิหาร พระอุโบสถ พระวิหารหลวง หรือพระวิหารกลาง งดงามตระการตามากกับศิลปะแบบล้านนา

วัดเจดีย์หลวง
วัดเจดีย์หลวง

เดินไปด้านหลังพระอุโบสถ จะมีพระธาตุเจดีย์หลวง พระธาตุเก่าแก่ สมัยพระเจ้าแสน เป็นพระธาตุที่มีความสูงใหญ่ที่สุดในอาณาจักรล้านนา อายุกว่า 600 ปี

พระธาตุเจดีย์หลวง
พระธาตุเจดีย์หลวง
พระมหาสังกัจจายน์
พระมหาสังกัจจายน์

ที่นี่มีสถาปัตยกรรมหลายอย่างที่เก่าแก่ให้เราได้ชม ไม่ว่าจะเป็น พระนอน หรือ พระพุทธไสยาสน์, พระมหาสังกัจจายน์, ต้นยางใหญ่ 3 ต้น อายุกว่า 200 ปี, หอธรรม (หอพระไตรปิฏก), กุฏิแก้วนวรัฐ กุฏิหลังแรกของวัด สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง, เสาอินทขีล เชื่อกันว่าเป็นหลักเมืองเชียงใหม่ ฯลฯ

วัดพันเตา
ออกจากวัดเจดีย์หลวงก็เดินมาไม่กี่ก้าว ข้างๆก็มีอีกวัดหนึ่งคือ วัดพันเตา เดิมเป็นพื้นที่ในเขตวัดเจดีย์หลวง สร้างจากไม้สักทั้งหลัง ที่มีสภาพสมบูรณ์และสวยงามที่สุดของเชียงใหม่ เพื่อนไกด์เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนบริเวณนี้เป็นที่ตั้งเตาหลอม ในการหล่อพระอัฏฐารสในวิหารวัดเจดีย์หลวง

วัดพันเตา
วัดพันเตา

ฝนเริ่มลงเม็ดมาแล้ว เพื่อนไกด์บอกว่า ถ้าฝนไม่ตก ตอนกลางคืนวัดพันเตาจะจุดเทียนตามทาง สวยงามมากวัดพันเตา

วัดพันเตา
วัดพันเตา

อนุสาวรีย์สามกษัตริย์
ฝนปรอยๆไม่หนักมาก สักพักก็หยุด เราก็เดินออกจากวัด ผ่านถนนคนเดิน แวะดูร้านนั้นร้านนี้ เพื่อเดินต่อไปยัง อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ซึ่งไม่ไกลจากกันมากนัก
พระบรมราชานุสาวรีย์สามกษัตริย์ หรือ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระมหากษัตริย์ไทย 3 พระองค์ ผู้สร้างเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่ คือ พญามังราย, พญางำเมือง และ พ่อขุนรามคำแหง เป็นที่นิยมในการมาสักการะบูชากัน

อนุสาวรีย์สามกษัตริย์
อนุสาวรีย์สามกษัตริย์
อนุสาวรีย์สามกษัตริย์
อนุสาวรีย์สามกษัตริย์

ตรงข้ามกับอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ จะเป็นศาลแขวงเชียงใหม่เก่า

ศาลแขวงเชียงใหม่เก่า
ศาลแขวงเชียงใหม่เก่า

จะเห็นว่าพื้นถนนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เพราะฝนตกๆหยุดทั้งวันค่ะ และตอนนี้ฝนก็ลงเม็ดอีกแล้ว เดินมาถึงตรงนี้ก็สุดทางถนนคนเดินแล้ว เราก็เดินกลับทางเดิม เพื่อเดินถนนคนเดินด้วย แต่ระหว่างทางฝนตกหนัก ซึ่งถ้าเดินฝ่าต้องเปียกแน่ๆ ระหว่างถนนคนเดิน ก็อย่างที่บอกว่ามีวัดอยู่ติดๆกันเยอะแยะไปหมด เราก็เลยแวะที่วัดอินทขีลสะดือเมือง

วัดอินทขีลสะดือเมือง

วันอินทขีลสะดือเมือง
วันอินทขีลสะดือเมือง

ด้านข้างจะเห็นร่มและเต้นท์ที่กางอยู่มากมาย ซึ่งก็คือตลาดถนนคนเดินนั่นเอง

วันอินทขีลสะดือเมือง
หลวงพ่อขาว วันอินทขีลสะดือเมือง

ภายในวัดอินทขีล มีพระพุทธรูปสำคัญอยู่คู่บ้านคู่เมืองเชียงใหม่มาเป็นเวลานาน ซึ่งก็คือ หลวงพ่อขาว อายุกว่า 700 ปี ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแบบล้านนา มีพระพักตร์อิ่มเอิบ ตั้งอยู่ภายในวิหารทรงล้านนาที่สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง

อยู่ในอุโบสถกันสักพัก ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย เราก็เลยตัดสินใจส่งตัวแทนวิ่งไปซื้อเสื้อกันฝนมา แล้วก็เดินกลับกันไปที่รถ เพื่อไปหาอะไรกินกัน ด้วยเวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษ ตัดสินใจกันยังไม่ได้ว่าจะกินไร ขับรถไปกับสายฝนที่ตกปรอยๆตลอดทาง สุดท้ายเพื่อนเสนอร้านแถวกาดมอ ซึ่งก็คือตลาดหลังมอนั่นเอง (คนเชียงใหม่เรียก ตลาด ว่า กาด) ด้วยเวลาประมาณ 2 ทุ่ม

ร้านท่าช้าง
หลังจากอิ่มท้องแล้ว เพื่อนไกด์ได้พูดถึง เมนูใหม่สูตรหมาใจดำ แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้ว ไม่รอช้า ขณะนี้เวลา 3 ทุ่ม บึ่งรถไปที่ร้านท่าช้าง ที่ถนนแถวเจเจมาร์เก็ต เพื่อนไกด์บอกว่า ร้านท่าช้าง เป็นสถานที่เที่ยวกลางคืนยอดฮิตของวัยรุ่นเชียงใหม่ มีเครื่องดื่มรสชาดดีๆ ชื่อแปลกๆให้ได้ลองกัน ไหนก็มาแล้วเนอะ สัมผัสให้ครบทุกบรรยากาศ ทุกไลฟ์สไตล์ จะได้คุ้มกับการมาเที่ยว

ร้านท่าช้าง
ร้านท่าช้าง

บรรยากาศในร้านตกแต่งเก๋ๆแนวๆ ออกแนวย้อนยุคสไตล์วินเทจหน่อยๆ ประดับด้วยโคมไฟที่เป็นชื่อปั๊มน้ำมัน ใช้ถังน้ำมันมาเป็นโต๊ะ ทาสีเข้มจัดสะดุดตา ลูกค้ามีตั้งแต่เด็กวัยรุ่น ไปจนถึงคนวัยทำงาน

สำหรับรีวิวนี้ประสบการณ์ที่เชียงใหม่ 2 วัน 2 คืน เราไม่สามารถไปได้ครบทุกที่ เชียงใหม่มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมาย ซึ่งแน่นอนว่าหากมีโอกาสเราจะกลับไปเยี่ยมเชียงใหม่อีกแน่นอนค่ะ

เชียงใหม่ทำให้เราได้สัมผัสกลิ่นอายความเป็นล้านนา วัฒนธรรมที่แม้ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปกี่ยุคกี่สมัย แต่เมืองนี้ก็ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวของคนรุ่นเก่าให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี  แม้ว่าจะมีวัฒนธรรมของคนรุ่นใหม่เข้ามา แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันกับวัฒนธรรมเก่าและผสานกันได้อย่างลงตัว

ที่สำคัญคือมิตรภาพ ที่ได้รับจากเพื่อนไกด์ ขอบคุณที่เสียสละเวลาพาเราเที่ยว ไม่บ่นซักคำ 🙂

สามารถดูรีวิววันที่ 1 ได้ที่ เชียงใหม่หน้าฝน ชิลไปตามสภาพอากาศ(วันที่1)

สำหรับแผนที่หากมีเวลาจะมีอัพเดทเพิ่มเติมค่ะ หรือใครอยากได้เป็นพิเศษ สามารถคอมเม้นถามได้เลยค่ะ

sunday.morning

เชียงใหม่หน้าฝน ชิลไปตามสภาพอากาศ2วัน2คืน(วันที่1)

ทริปนี้จัดเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาค่ะ แน่นอนว่าช่วงนี้มันฤดูฝน ใครจะอยากเที่ยว ช่วงนี้ก็เลยเป็นช่วง low season สำหรับการท่องเที่ยว ด้วยความที่อยากเที่ยว เงินในกระเป๋าก็น้อยนิด เราก็ถือโอกาสนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบินราคาเท่าตั๋วรถทัวร์ ที่พัก ลดครึ่งราคา ลดกระหน่ำกันจริงจัง รอช้าอยู่ใยแพคกระเป๋าโลด
ออกเดินทางในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม ค่ะ โดยสายการบินราคาประหยัด Airasia เราจองไป-กลับ ได้ในราคาประมาณ 1,800 บาท จองผ่านเว็บไซต์ https://www.traveloka.com/th-th/airasia ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่ต้องรูดบัตรเครดิต เพราะใช้วิธีโอนเงินเอาผ่านตู้ ATM ได้ตั๋วราคาถูกไม่ชาร์ทเพิ่ม

พร้อมกันนั้น หลังจองตั๋วเสร็จ ก็มีหน้าจอโรงแรมเด้งขึ้นมาแนะนำ ราคาแบบล่อตามากคืนละ 400 บาท ซึ่งลดจากราคา 1,200 บาท แต่ยังไม่จอง ขอเอาชื่อโรงแรมไปหาข้อมูลก่อนว่าเป็นยังไง หลังหาข้อมูลแล้ว ทั้งการเดินทาง สภาพโรงแรม และอื่นๆที่เราพอใจ เราก็ตกลงจองโรงแรม โรยัล เพนนินซูลา

ออกจากดอนเมือง 6.40 น. ถึงสนามบินเชียงใหม่ 7.45 น. นั่งรอเพื่อนมารับ หากใครไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักที่จะพาเราเที่ยวได้ ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ มีรถแดงโดยสารเข้ามาถึงสนามบินเลยค่ะ เท่าที่นั่งสังเกตมีทุกๆ 5 นาที สามารถนั่งโดยสารประจำทางหรือเหมาเที่ยวก็ได้ค่ะ รถแดงพาเราไปได้ทุกที่ ราคาก็ตามที่ตกลงกับโชเฟอร์

รถโดยสารเชียงใหม่
รถแดงโดยสารเชียงใหม่

เรายังไม่เข้าโรงแรม เพราะโรงแรมให้เช็คอินเวลา 14:00 น.เป็นต้นไป จึงแพลนไปเที่ยวกันก่อน แต่ท้องก็ร้องหาอาหารแต่เช้า เพื่อนผู้น่ารัก จึงจัดให้ พาเราไปหามื้อเช้ากินกัน

อาหารมื้อแรกที่เชียงใหม่ที่ร้าน “BOAT BAKERY CHIANGMAI” ร้านเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนห้วยแก้ว ทางมุ่งหน้าไปดอยสุเทพ ร้านอยู่ซ้ายมือ ก่อนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บรรยากาศตกแต่งด้วยโทนสีขาว เรียบง่ายมีสองโซน ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังประดับตกแต่งด้วยไม้ประดับ ให้ความรู้สึกสดชื่น

ร้าน Boat Bakery chiangmai
ร้าน Boat Bakery chiangmai
ร้าน Boat Bakery chiangmai
บรรยากาศภายในร้าน Boat Bakery chiangmai

ที่นี่มีหลากหลายเมนู ทั้งของคาวของหวาน อาหารไทย หรือเทศ เรียกได้ว่าครบครบครัน ส่วนเซ็ทที่เป็นที่นิยมกันที่สุดสำหรับมื้อเช้าก็คือเซ็ทอาหารเช้า มีอาหารให้เลือก อาทิไส้กรอก แฮม ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง เลือกผสมได้ตามใจชอบ เสิร์ฟมาพร้อมกับกาแฟ และนม

เซ็ทอาหารเช้า
เซ็ทอาหารเช้าร้าน Boat Bakery chiangmai

อาหารมีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม สเต็ก อาหารตามสั่ง ฯลฯ Boat Bakery chiangmai

อิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเช้ากันเรียบร้อย มื้อนี้จ่ายไปประมาณ 350 บาท มีเซ็ทอาหารเช้า 3 ที่ ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่ม ไก่ทอด เฟรนฟราย อิ่มมาก

อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อเลย มุ่งหน้าไปยังม่อนแจ่มตามที่ได้หาข้อมูลกันมาก่อน ในระหว่างทางเพื่อนผู้น่ารักใจดี ทำหน้าที่ไกด์ที่ดี พาเราแวะสถานที่ที่เราไม่รู้จักมาก่อน แต่ยังไงก็เป็นทางผ่านก่อนขึ้นม่อนแจ่มอยู่แล้ว (ได้กำไรมา 1 สถานที่)

พระตำหนักดาราภิรมย์ เป็นที่ประทับของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่นี่ถูกตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆระหว่างบรรพชนในอดีต กับอนุชนรุ่นหลัง มีการจัดห้องพักผ่อนพระอิริยาบถ จัดแสดงจานชาม เครื่องเสวย ของใช้ส่วนพระองค์ และเครื่องดนตรี ให้เหมือนเดิมมากที่สุด

พระตำหนักดาราภิรมย์
พระตำหนักดาราภิรมย์

พระตำหนักดาราภิรมย์

มีคนเข้ามากราบไหว้ ขอพรกันประปราย ส่วนใหญ่ถวายดอกกุหลาบ ขอกระซิบว่าเพื่อนผู้น่ารัก ก็อธิษฐานและก็ได้สมหวังตามที่อธิษฐานด้วย (ความเชื่อส่วนบุคคล)พระตำหนักดาราภิรมย์ พระตำหนักดาราภิรมย์ พระตำหนักดาราภิรมย์

แวะสักการะและถ่ายรูปเสร็จก็ออกจาก พระตำหนักดาราภิรมย์ เพื่อนผู้น่ารักก็พาแวะอีกสถานที่ ทางผ่านอีกแล้ว “ศาลากาแฟ” (กำไรอีกแล้ว) ร้านกาแฟที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติมากๆ นอกจากจะมีกาแฟและเครื่องดื่ม ของหวานแล้ว อาหารคาวก็มีให้เลือกหลากหลายศาลากาแฟ ศาลากาแฟ ศาลากาแฟ

สำหรับรีวิวร้าน ศาลากาแฟ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ  “ศาลากาแฟ” ชิวกับธรรมชาติ

เราชิลถ่ายรูปกันที่ร้านศาลากาแฟ กันสักพัก ประมาณบ่ายโมงก็ไปกันต่อ คราวนี้ไม่ได้แวะแล้ว ตรงดิ่งไปที่ม่อนแจ่ม ไปถึงม่อนแจ่มก็บ่ายแก่ๆ แต่เราตื่นเต้นมาก เพราะหมอกที่หนาตาเอามากๆ คิดว่าเป็นหน้าหนาว แต่อากาศไม่หนาว เย็นสบาย สำหรับที่ม่อนแจ่มจะต้องจ่ายค่าจอดรถประมาณ 20 หรือ 40 บาท จำไม่ได้ค่ะ แล้วก็เดินขึ้นไปอีกนิดหน่อย

ก่อนที่เราจะมาม่อนแจ่มก็ศึกษาข้อมูลมาก่อน เห็นหลายรีวิวบอกม่อนแจ่มไม่มีอะไร แต่เราไม่เชื่อค่ะ ต้องมาเห็นกับตา

ท้องฟ้าดูครึ้มๆ ฝนใกล้มาแล้ว ก็หน้าฝนเราจะไปห้ามไม่ให้ฝนตกคงไม่ได้ เราลุยกันต่อค่ะ
มีของขายจากชาวบ้านริมทาง

ม่อนแจ่ม เชียงใหม่
มันเผา หอมมาก
ม่อนแจ่ม เชียงใหม่
ดอกไม้ ที่ม่อนแจ่ม เชียงใหม่
ม่อนแจ่ม เชียงใหม่
มีรอยยิ้มจากเจ้าถิ่นส่งให้

ที่นี่มีดอกไม้และรอยยิ้ม น้องๆเขาน่ารักมากเลยนะคะ ถ้าคนที่มีเที่ยวแล้วกลับไปพูดว่าที่นี่ไม่มีอะไรน่าเที่ยว เด็กและชาวบ้านที่นี่เขาก็น่าจะได้รับผลกระทบนะคะ ยังไงก็อยากให้มาเห็นกันเองกับตา ก่อนตัดสินใจอะไร

สำหรับรีวิวม่อนแจ่มทั้งหมดสามารถดูได้ที่นี่ค่ะ หน้าฝนน่าเที่ยว “ม่อนแจ่มม่วนใจ๋

กลับจากม่อนแจ่มประมาณห้าโมงเย็น เอากระเป๋าไปเก็บ เช็คอินที่โรงแรม โรยัล เพนนินซูลา  และนั่งพักสักพักโรงแรม โรยัล เพนนินซูลา

โรงแรม โรยัล เพนนินซูลา
ภายในห้องพักของโรงแรม โรยัล เพนนินซูลา

วันนี้ยังพอมีเวลา เพื่อนไกด์ผู้น่ารัก ก็พาไปไหว้พระที่วัดเก่าแก่ประจำเมืองเชียงใหม่ พระพุทธสิหิงค์ พระธาตุประจำปีมะโรง ณ วัดพระสิงห์ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องสุพรรณหงส์และสังข์ทอง ซึ่งพบเพียงที่นี่แห่งเดียววัดพระสิงห์
วัดพระสิงห์

ไหว้พระเสร็จก็ถึงเวลามื้อเย็นของวันแล้ว  กินอีกแล้นน เพื่อนไกด์ที่น่ารักก็ถามเราว่าอยากกินอะไร เราก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าอาหารเมือง นางเลยจัด พาเราไปร้าน “เฮือนม่วนใจ๋” ร้านชื่อดัง เก่าแก่กว่า 100 ปี โดยเชฟก็เป็นถึงผู้ท้าชิงเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทยด้วย

มาถึงร้านกล้องถ่ายรูปแบตหมด โทรศัทพ์แบตก็หมด เลยเก็บภาพบรรยากาศมาได้นิดหน่อย
ตัวร้านเป็นเรือนไม้ ทางเข้าประดับไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ บรรยากาศในร้านดูอบอุ่น ตกแต่งด้วยโคมแบบชาวเชียงใหม่ การประดับตกแต่งผนังด้วยรูป เหมือนบ้านเรือนสมัยก่อน

เฮือนม่วนใจ๋
ร้านเฮือนม่วนใจ๋

ถึงเวลาสั่งอาหาร มีกันสามคนแต่ด้วยความหิวและเมนูที่เพื่อนไกด์แนะนำ ก็สั่งกันมาเยอะมาก 😉

อาหารเมือง เฮือนม่วนใจ๋
อาหารเมือง เฮือนม่วนใจ๋

นี่ไม่ได้อวยนะ จะบอกว่าอาหารอร่อยมาก อร่อยทุกอย่าง อาทิ
ชุดออเดิฟเมือง ก็จัดเต็มทั้งน้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกอ่อง, แคปหมู, ไส้อั่ว, หมูทอด, แกงฮังเล(อร่อยมาก) พร้อมกับผักเครื่องเคียง
แอ๊บหมู ซึ่งก็คือหมกหมู คือแบบว่ามันอร่อยมากเราติดใจ แกงฮังเล อร่อยมากกกก ก็ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้กินไปได้ยังไง ถ้าท้องยังรับไหวนี่คงสั่งเพิ่มแน่ๆ สำหรับมื้อนี้จ่ายไปประมาณ 450 บาท แต่อิ่มมากกกก อร่อยมากกกกกกกกกก

อิ่มกันแล้วก็ไปเดินย่อยต่อที่ถนนคนเดิน ซึ่งถ้าใครมาเชียงใหม่แล้วไปเดินนี่เรียกได้ว่าไปไม่ถึงเชียงใหม่แน่นอนค่ะ

ถนนคนเดิน
ถนนคนเดิน

บรรยากาศที่นี่ก็เหมือนตลาดนัด ของที่ขายส่วนใหม่เป็นงานฝีมือ มีการแสดงความสามารถ ศิลปะวัฒนธรรมของคนบางกลุ่ม ส่วนใหญ่คนที่เห็นจะเป็นท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

หมดไปแล้ว 1 วัน รู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก เราก็เลยกลับไปพักผ่อนกัน

สำหรับวันที่สองของทริปนี้เราจะเขียนแยกโพสต์นะคะ เพราะไม่อย่างนั้นหน้าจะยาวมากๆ จนคุณขี้เกียจอ่าน 🙂

แผนที่การเดินทางทั้งหมดmap01

map01

map02

map03

map04

รีวิววันที่ 2  เชียงใหม่หน้าฝน ชิลไปตามสภาพอากาศ(วันที่2)

sunday.morning

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

หน้าฝนน่าเที่ยว “ชมดอกไม้งามที่พระตําหนักภูพิงค์”

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงยอดฮิต ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
หมอกลงหนามาก

ในช่วงนี้ฤดูฝน ดอกไม้ใบหญ้าที่นี่เขียวชะอุ่มชุ่มชื่น อากาศเย็นสบาย ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกที่คิดว่าอีกไม่นานฝนคงตก เหมือนทริปอื่นๆที่ผ่านมา

สำหรับการเข้าชมสถานที่แห่งนี้ จะต้องแต่งตัวให้เรียบร้อย ไม่โป๊ ใครใส่เสื้อแขนกุด กางเกงหรือกระโปรงสั้น รวมถึงกางเกงยืนแฟชั่นที่ฮิตทำให้ขาดด้วย จะต้องเช่าชุดที่เขาเตรียมไว้ให้เพื่อใส่ก่อนเข้าไปด้านใน

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ถังขยะที่ตกแต่งได้น่ารักมากค่ะ

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
อากาศเย็นสบายมาก กับไอหมอกก่อนฝนตก หมอกฟุ้งๆ รู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์เลยค่ะ 🙂
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

ที่นี่รายล้อมไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิด แข่งกันเบ่งบานต้อนรับนักท่องเที่ยว เราก็ไม่ค่อยจะรู้จักชื่อดอกไม้แต่ละชนิดเท่าไหร่ แต่พยายาม รวบรวมข้อมูลรายชื่อดอกไม้เมืองหนาวให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ดอกกุหลาบ
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ดอกกุหลาบ

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ไฮเดรนเยีย
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ดอกไฮเดรนเยีย
ดอกไฮเดรนเยีย
ดอกไฮเดรนเยีย
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
Dahlia รักเร่ ดอกรักเร่
Dahlia รักเร่ ดอกรักเร่
Dahlia รักเร่ ดอกรักเร่
Dahlia รักเร่ ดอกรักเร่
Dahlia รักเร่ ดอกรักเร่

นอกจากจะได้เห็นดอกไม้สวยๆแล้ว เรายังได้เห็นการจัดแต่งสวนสวยๆ ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญช่วยให้ดอกไม้ดูสวยมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

มีต้นไม้ทั้งเล็กใหญ่ตลอดทาง ชมดอกไม้ไป ช่วงไหนที่ฝนตกลงมาเราก็หลบฝน แต่ฝนตกแป๊ปเดียวก็หยุดแล้ว จึงไม่ได้เป็นอุปสรรคใดๆกับเราสำหรับการเที่ยวหน้าฝนนี้

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

ใบไม้หลังฝนตก ก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

เดินไปเรื่อยๆจะมีทางเดินสำหรับขึ้นไปดูอ่างเก็บน้ำ จะเจอสะพานข้าม ค่อนข้างสูง มองลงไปด้านล่างจะเห็นถนน ก็สวยไปอีกแบบค่ะพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

ดอกรักเร่ที่มีน้ำเกาะอยู่ตามกลีบหลังจากฝนตก

Dahlia รักเร่ ดอกรักเร่
Dahlia รักเร่ ดอกรักเร่
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
ทางขึ้นไปดอ่างเก็บน้ำ
พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
มุมจากบนลงล่างบ้าง

ดอกไม้เมืองหนาว ดอกไม้เมืองหนาว DSCF1412

ดอกไม้เมืองหนาว
ธรรมชาติสรรค์สร้าง

ตามโขดหินจะมีมอสเกาะอยู่มากมายค่ะ บ่งบอกว่าที่นี่มีความชุ่มชื่นมากๆดอกไม้เมืองหนาว ดอกไม้เมืองหนาว ดอกไม้เมืองหนาว ดอกไม้เมืองหนาว ดอกไม้เมืองหนาว ดอกไม้เมืองหนาว

เดินมาถึงจุดนี้ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว แต่เราก็ไม่หวั่น ยังคงสนุกกับการถ่ายรูป ถ่ายเพลินๆก็ขึ้นมาถึงอ่างเก็บน้ำแล้วอ่างเก็บน้ำพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อ่างเก็บน้ำพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

มองไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นการตกแต่งสวนดอกไม้เป็นชั้นๆ แต่ตอนนี้ฝนเริ่มลงเม็ดอีกรอบ เราเลยถ่ายภาพมาได้เท่านี้แล้วต้องรีบวิ่งไปหลบฝนในศาลาอ่างเก็บน้ำพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

ตกได้ประมาณ 5 นาที ฝนก็หยุด เราก็ออกเดินทางต่อ

ต้นไม้แกะสลัก
ต้นไม้แกะสลัก

ต้นไม้แกะสลักที่สวยและงดงามมาก เราก็ทึ่งในความสามารถของคนเหมือนกัน เพราะแกะได้เนี๊ยบและละเอียดมากค่ะ

มีหลายต้นเลยค่ะ

ต้นไม้แกะสลัก
ต้นไม้แกะสลัก

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

สำหรับทริปนี้ จุใจไปด้วยธรรมชาติ ของหน้าฝนมากๆค่ะ

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์
เก็บรายละเอียดริมทาง

การเดินทางมีคุณค่าทางจิตใจเสมอ

พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

ค่าใช้จ่าย

ค่าเข้าชม : คนละ 20 บาท
ค่าเช่าชุด : ชิ้นละ 10 บาท

ดูรีวิวหน้าฝนน่าเที่ยวอื่นๆ

ดอยปุย

หน้าฝนน่าเที่ยว “ดอยปุย-บ้านม้งดอยปุย”

หน้าฝนน่าเที่ยว เดินทางต่อจากวัดผาลาด รีวิวไว้ที่นี่ หน้าฝนน่าเที่ยว “วัดผาลาด” ลงตัวท่ามกลางธรรมชาติ จากวัดผาลาดเรามุ่งหน้าไปยังดอยปุยต่อค่ะ ซึ่งจะผ่านพระตําหนักภูพิงค์ด้วย แต่เราตั้งใจขึ้นดอยปุยก่อนค่อยลงพระตําหนักภูพิงค์ค่ะ

ดอยปุย-ดอยสุเทพ
ทางระหว่างขึ้นดอย โค้งมากค่ะ แต่ไม่น่ากลัว

ระหว่างเดินขึ้นไปบนดอยก็จะต้องเดินผ่านหมู่บ้านม้ง จะพบวิถีความเป็นอยู่ของชาวม้ง

หมู่บ้านม้งดอยปุย หมู่บ้านม้งดอยปุยมีตลาดขายสินค้าของชาวบ้าน ทั้งงานฝีมือ ของพื้นบ้าน เสื้อผ้า ผ้าฝ้ายทอมือ เครื่องประดับเงิน ชา และอีกมากมายหมู่บ้านม้งดอยปุย pageมีชุดชาวเขาให้เราได้เช่าใส่ด้วยค่ะ คนละ 50 บาท จะมีเด็กๆมาคอยต้อนรับและอาสาเป็นไกด์ให้ (แต่อาจจะต้องมีค่าตอบแทนให้น้องด้วยนะคะ 🙂 ) น้องๆจะวิ่งมาต้อนรับและพูดกับคุณว่า “พี่สาวคะ สนใจให้หนูเป็นมัคคุเทศน์น้อยพาเที่ยวมั้ยคะ แล้วแต่พี่จะให้ค่าขนมหนูค่ะ” ประมาณนี้ น่ารักค่ะ หรือจะถ่ายรูปกับเด็กดอยก็ได้ค่ะ น้องๆก็จะหารายได้จากนักท่องเที่ยวจากการนำเที่ยวหรือถ่ายรูปคู่กับเราค่ะ แล้วแต่เราจะให้เขาค่ะ

อ้อลืมบอกไปว่าต้องมีค่าเข้าชมดอกไม้ด้วยค่ะ คนละ 10 บาทหมู่บ้านม้งดอยปุยดอยปุยดอยปุยดอยปุย DSCF1052

ดอยปุย
ดอกไม้ในหน้าฝนก็สวยงามไม่แพ้หน้าหนาวนะคะ
ดอยปุย
พึ่งพาอาศัย

ดอยปุยเก็บภาพหมู่ดอกไม้มาฝากล้วนๆเลยค่ะ ไม่รู้จะบรรยายอะไร ให้ภาพบอกแทนแล้วกันค่ะดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุย ดอยปุยดอยปุย DSCF1093 ดอยปุย

อากาศเย็นสบายมากค่ะ ดอยปุยดอยปุย ดอยปุย ดอยปุยหน้าฝน

ด้านบนมีร้านกาแฟค่ะ ชื่อร้าน กาแฟม้งดอยปุย 

ร้านกาแฟม้งดอยปุย
ร้านกาแฟม้งดอยปุย

ดอยปุยหน้าฝน

มีหลากหลายเมนูให้เลือกสรร ราคาไม่แพงค่ะ รสชาดดีร้านกาแฟม้งดอยปุย ร้านกาแฟม้งดอยปุย ร้านกาแฟม้งดอยปุยร้านกาแฟม้งดอยปุย

ร้านกาแฟม้งดอยปุย
ลาเต้ร้อนแก้วละ 60 บาท

จากร้านกาแฟม้งดอยปุย เราจะมองเห็นวิวทั้งหมด คือดีมากค่ะ ดอยปุยหน้าฝนจากการอยู่เชียงใหม่ในหน้าฝน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่สองทำให้รู้ว่า เมฆหมอกที่หนามากขนาดนี้อีกไม่นานฝนก็ตก แต่ฝนที่ตกพร้อมเมฆหมอกเหล่านี้จะเป็นละอองฝนค่ะ ไม่ใช่ฝนเม็ดโตๆ แบบที่เคยเจอค่ะและไม่ได้ตกบริเวณนี้แต่จะตกบริเวณที่หมอกเหล่านี้ไปเยือนค่ะ ส่วนฝั่งเราก็ได้เห็นวิวดี ภาพสวยๆค่ะ 🙂ดอยปุยหน้าฝน ดอยปุยหน้าฝนดอยปุยหน้าฝนนั่งกินกาแฟ ชมบรรยากาศไปซักพัก ก็ได้เวลากลับเพื่อที่จะลงไปยังพระตําหนักภูพิงค์ต่อ เราเดินลงอีกด้านหนึ่งของร้านกาแฟค่ะ

ดอยปุยหน้าฝน
น่าจะเป็นเครื่องตำข้าวมั้งคะ

ริมทางเดินลงจากร้านกาแฟ ด้วยความชุ่มชื้นของป่าไม้ ทำให้เห็นมอสตามโขดหินและต้นไม้มากมายค่ะดอยปุยหน้าฝนดอยปุยหน้าฝน ดอยปุยหน้าฝนเราจะต้องเดินอีกทางจากทางขึ้น จะมีป้ายบอก ว่าเป็นทางลงค่ะ ระหว่างทางก็มีตลาดขายของเช่นเดียวกับทางขึ้นค่ะ

ขับรถออกจากดอยปุยมาซักพัก แวะถ่ายรูปซักหน่อย เพราะตื่นเต้นกับหมอกเหล่านี้มากๆค่ะ ดอยปุยหน้าฝนมีรถมา ดอยปุยหน้าฝนถ้าหากเราไม่ได้เอารถมาเองก็มีรถแดงพาเที่ยวนะคะหรือหากขับไม่เก่งไม่ชำนาญเพราะทางค่อนข้างแคบและชันนิดหนึ่งค่ะ จะเหมารถสองแถวแดงหรือมาเป็นรถโดยสารกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็ได้ค่ะ ตรงพระตําหนักภูพิงค์จะมีรถสองแถวแดงจอดรอเรียกนักท่องเที่ยวอยู่หลายคันค่ะดอยปุยหน้าฝน

ดูรีวิวหน้าฝนน่าเที่ยวอื่นๆ