Category: Around Thailand
ท่องเที่ยวทั่วไทย
หน้าฝนน่าเที่ยว “ดอยปุย-บ้านม้งดอยปุย”
หน้าฝนน่าเที่ยว เดินทางต่อจากวัดผาลาด รีวิวไว้ที่นี่ หน้าฝนน่าเที่ยว “วัดผาลาด” ลงตัวท่ามกลางธรรมชาติ จากวัดผาลาดเรามุ่งหน้าไปยังดอยปุยต่อค่ะ ซึ่งจะผ่านพระตําหนักภูพิงค์ด้วย แต่เราตั้งใจขึ้นดอยปุยก่อนค่อยลงพระตําหนักภูพิงค์ค่ะ
ระหว่างเดินขึ้นไปบนดอยก็จะต้องเดินผ่านหมู่บ้านม้ง จะพบวิถีความเป็นอยู่ของชาวม้ง
มีตลาดขายสินค้าของชาวบ้าน ทั้งงานฝีมือ ของพื้นบ้าน เสื้อผ้า ผ้าฝ้ายทอมือ เครื่องประดับเงิน ชา และอีกมากมาย มีชุดชาวเขาให้เราได้เช่าใส่ด้วยค่ะ คนละ 50 บาท จะมีเด็กๆมาคอยต้อนรับและอาสาเป็นไกด์ให้ (แต่อาจจะต้องมีค่าตอบแทนให้น้องด้วยนะคะ 🙂 ) น้องๆจะวิ่งมาต้อนรับและพูดกับคุณว่า “พี่สาวคะ สนใจให้หนูเป็นมัคคุเทศน์น้อยพาเที่ยวมั้ยคะ แล้วแต่พี่จะให้ค่าขนมหนูค่ะ” ประมาณนี้ น่ารักค่ะ หรือจะถ่ายรูปกับเด็กดอยก็ได้ค่ะ น้องๆก็จะหารายได้จากนักท่องเที่ยวจากการนำเที่ยวหรือถ่ายรูปคู่กับเราค่ะ แล้วแต่เราจะให้เขาค่ะ
อ้อลืมบอกไปว่าต้องมีค่าเข้าชมดอกไม้ด้วยค่ะ คนละ 10 บาท
เก็บภาพหมู่ดอกไม้มาฝากล้วนๆเลยค่ะ ไม่รู้จะบรรยายอะไร ให้ภาพบอกแทนแล้วกันค่ะ
อากาศเย็นสบายมากค่ะ
ด้านบนมีร้านกาแฟค่ะ ชื่อร้าน กาแฟม้งดอยปุย
มีหลากหลายเมนูให้เลือกสรร ราคาไม่แพงค่ะ รสชาดดี
จากร้านกาแฟม้งดอยปุย เราจะมองเห็นวิวทั้งหมด คือดีมากค่ะ จากการอยู่เชียงใหม่ในหน้าฝน ซึ่งวันนี้เป็นวันที่สองทำให้รู้ว่า เมฆหมอกที่หนามากขนาดนี้อีกไม่นานฝนก็ตก แต่ฝนที่ตกพร้อมเมฆหมอกเหล่านี้จะเป็นละอองฝนค่ะ ไม่ใช่ฝนเม็ดโตๆ แบบที่เคยเจอค่ะและไม่ได้ตกบริเวณนี้แต่จะตกบริเวณที่หมอกเหล่านี้ไปเยือนค่ะ ส่วนฝั่งเราก็ได้เห็นวิวดี ภาพสวยๆค่ะ 🙂 นั่งกินกาแฟ ชมบรรยากาศไปซักพัก ก็ได้เวลากลับเพื่อที่จะลงไปยังพระตําหนักภูพิงค์ต่อ เราเดินลงอีกด้านหนึ่งของร้านกาแฟค่ะ
ริมทางเดินลงจากร้านกาแฟ ด้วยความชุ่มชื้นของป่าไม้ ทำให้เห็นมอสตามโขดหินและต้นไม้มากมายค่ะ เราจะต้องเดินอีกทางจากทางขึ้น จะมีป้ายบอก ว่าเป็นทางลงค่ะ ระหว่างทางก็มีตลาดขายของเช่นเดียวกับทางขึ้นค่ะ
ขับรถออกจากดอยปุยมาซักพัก แวะถ่ายรูปซักหน่อย เพราะตื่นเต้นกับหมอกเหล่านี้มากๆค่ะ มีรถมา ถ้าหากเราไม่ได้เอารถมาเองก็มีรถแดงพาเที่ยวนะคะหรือหากขับไม่เก่งไม่ชำนาญเพราะทางค่อนข้างแคบและชันนิดหนึ่งค่ะ จะเหมารถสองแถวแดงหรือมาเป็นรถโดยสารกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆก็ได้ค่ะ ตรงพระตําหนักภูพิงค์จะมีรถสองแถวแดงจอดรอเรียกนักท่องเที่ยวอยู่หลายคันค่ะ
ดูรีวิวหน้าฝนน่าเที่ยวอื่นๆ
หน้าฝนน่าเที่ยว “วัดผาลาด” ลงตัวท่ามกลางธรรมชาติ
หน้าฝนน่าเที่ยว อีกตอนวันที่สองของการเที่ยวหน้าฝนที่เชียงใหม่ แวะริมทางก่อนขึ้นดอยสุเทพ-ดอยปุย
หลายคนที่ไปเชียงใหม่จะต้องขึ้นดอยสุเทพอย่างแน่นอน เพราะเป็นสถานที่เที่ยวที่อยู่ใกล้ตัวเมืองมากที่สุด เดินทางสะดวกและง่าย แต่ไหนๆก็ไปทางนั้นแล้ว ถ้าไม่แวะ วัดสกิทาคาหรือวัดผาลาด ก็น่าเสียดายนะคะ เพราะที่นี่คุณจะได้เห็นการผสมผสานงานศิลปะกับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืมลงตัวมากๆ ซึ่งสิ่งปลูกสร้างของที่นี่เป็นศิลปะร่วมสมัยระหว่างล้านนาและพม่า
เมื่อเห็นป้ายต้องขับรถลงไปอีก 200 เมตรลงจากรถปุ๊บ จะได้ยินเสียงน้ำไหล เพราะมีน้ำตกอยู่ในวัดด้วย
จะเห็นรูปปั้นช้างอยู่หลายจุดมาก คงเป็นเพราะว่าช้างมีความสำคัญในการทำให้เกิดวัดนี้ขึ้นมา จากเรื่องเล่าตามตำนานการสร้างดอยสุเทพ เล่าว่า “ในการเสี่ยงทายหาสถานที่สร้างพระธาตุ ได้ปล่อยให้ช้างเดินไป หากช้างหยุดที่ใดก็จะประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่นั่น ซึ่งช้างได้ย่อเข่าลงบริเวณที่ตั้งวัดผาลาดในปัจจุบัน แต่ก็ลุกเดินต่อไปจนถึงดอยอ้อยช้างซึ่งก็คือพระธาตุดอยสุเทพ จึงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุบรรจุ ณ พระธาตุดอยสุเทพ ส่วนบริเวณที่ช้างหยุดย่อเขาลงครั้งแรกก็สร้างเป็นวัดผาลาดเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเสี่ยงทายหาสถานที่สร้างพระธาตุ”
พระเจดีย์ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ากือนา ศิลปะแบบล้านนาผสมศิลปะพม่า
วิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ภายในประดิษฐานพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
พระพุทธรูปหน้าผา เดิมคาดว่าที่ตั้งวิหารแบบพม่าที่ตั้งนิยมสร้างบนแนวผา ปัจจุบันหลงเหลือให้เห็นเพียงส่วนฐาน เคยประดิษฐานพระพุทธรูปเชียงแสน หนึ่งในนั้นคือ “พระไล่กา” ว่ากันว่าคนโบราณลงอาคมเอาไว้ในพระพุทธรูปดังกล่าว เพื่อไม่ให้อีกา สัตว์แห่งความโชคร้าย บินผ่านวัด ต่อมาถูกทำลายไปสมัยทำสงครามกับพม่า ภายหลังชาวไทใหญ่ที่อพยพลี้ภัยสงครามมาอาศัยในบริเวณนี้ได้สร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ แต่เป็นศิลปะแบบไทใหญ่
บ่อน้ำทิพย์ ซึ่งจากการสังเกตทำให้ทราบว่ามีการสร้างทับขึ้นหลายครั้ง จึงสันนิษฐานว่า ครั้งที่หนึ่งสร้างขึ้นโดยชาวเมืองสุโขทัย ที่ติดตามงานบุญอัญเชิญพระธาตุร่วมกับพระเจ้ากือนา เพื่อเอาน้ำไว้กิน อาบ โดยเป็นวิธีการกรองน้ำอย่างหนึ่งของคนโบราณ จะได้ไม่ต้องใช้น้ำจากลำห้วยโดยตรง ครั้งที่สองน่าจะเป็นสมัยที่พม่าครองเมืองเชียงใหม่ (ดูจากอิฐที่ปากบ่อ น้ำ) และครั้งที่สามในสมัยครูบาศรีวิชัย การสร้างมณฑปครอบบ่อน้ำนี้ เป็นประเพณีที่นิยมทำกันในถิ่นชาวไทใหญ่และทางภาคเหนือของพม่า
เดินชมความงามของศิลปะโบราณและความงามของธรรมชาติกลางป่า
ถ้าได้ผ่านไปก็อย่าลืมแวะชมความงามนะคะ “อยู่ใต้ฟ้าอย่าไปกลัวฝนค่ะ” หน้าฝนน่าเที่ยว เที่ยวเชียงใหม่กันค่ะ
ดูรีวิวหน้าฝนน่าเที่ยวอื่นๆ หน้าฝนน่าเที่ยว “ม่อนแจ่มม่วนใจ๋”
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tripchiangmai.com/, http://www.chiangmaitouring.com/
หน้าฝนน่าเที่ยว “ม่อนแจ่มม่วนใจ๋”
ถึงช่วงนี้จะเป็นหน้าฝนหลายคนอาจจะกลัวเปียกไม่อยากออกไปไหน อยากเที่ยวแต่ก็กลัวฝน ส่วนเราคิดว่าความสวยของแต่ละฤดูคงให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปแน่นอนค่ะ เหมือนทริป “หน้าฝนน่าเที่ยว” นี้ เราเองก็อยากสัมผัสความรู้สึก อารมณ์ของการเที่ยวหน้าฝน และก็ประทับใจมากเลยต้องบอกต่อ ต้องลองค่ะ
“หน้าฝนน่าเที่ยว” ทริปแรกคือ ม่อนแจ่ม “ม่อน” หมายถึง ดอยที่มีขนาดเล็ก “ม่อนแจ่ม” ตั้งอยู่ในตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนักใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 40 นาที
ม่อนแจ่มมีอากาศเย็นสบายตลอดปีและมีหมอกในยามเช้า มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ ทิวภูเขาสลับกันไกลสุดลูกหูลูกตา ยอดเขาทางทิศตะวันออกมีจุดชมวิวม่อนล่อง เหมาะสำหรับชมทิวทัศน์ของพื้นที่โครงการหลวง ส่วนทางด้านทิศใต้เป็นไหล่เขามองลงไปจะเห็นหมู่บ้านม้งหนองหอยและพื้นที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงหนองหอยโดยรอบ ซึ่งเป็นแปลงปลูกผักและวิจัยพืชผักเมืองหนาว เช่น อาติโช๊ค แปลงสมุนไพรเลมอนทาร์ม มิ้น คาร์โมมายด์ โรสแมรี่ ไม้ผล เช่น พลัม องุ่นไร้เมล็ด สตรอเบอรี่พันธุ์ 80 แปลงผักไฮโดรโพนิค การปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน เช่น โอ้คลีฟแดง และผักตระกูลสลัด มะเขือเทศดอยคำ ฯลฯ
มีฝนตกลงมาเล็กน้อย เราก็หลบฝนกันใต้หลังคามุงจากหลังฝนตก ท้องฟ้าเปิด ฟ้าใสมากค่ะ ระหว่างทางลงจากม่อนแจ่ม ก็มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดทางให้ได้กดชัตเตอร์รัวๆ ขับมาได้สักพัก จะมีจุดชมวิวม่อนล่อง ที่สามารถแวะเพื่อชมวิว ซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็นพื้นที่โครงการหลวงและหมู่บ้านม้ง
หลังจากฝนตกถนนอาจจะลื่นนิดหนึ่ง หากใครไปเที่ยวก็ขับรถด้วยความระมัดระวังด้วยนะคะ
ม่อนแจ่มถึงจะเป็นดอยขนาดเล็ก ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ไปแล้วสิ่งที่เราได้เห็นคือภาพทั้งหมดนี้ ประทับใจค่ะ ถ่ายรูปเพลินมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก http://thai.tourismthailand.org/
เมืองโบราณ เที่ยวทั่วไทยที่เดียวจบ
หลายคนเคยฝันจะไปเที่ยวให้ทั่วไทย แต่ไม่มีเวลาสักที จากนี้ไปคงไม่ใช่เรื่องยากแล้วหลังจากที่คุณได้ไปเมืองโบราณ
เมืองโบราณ เป็นสถานที่รวบรวมวัฒนธรรม สถานที่สำคัญ ของไทยทั่วทุกภูมิภาค อาทิ ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ภาคอีสาน บนเนื้อที่กว่า 800 ไร่ มีรูปร่างคล้ายด้ามขวานทองของประเทศไทย ซึ่งจะแบ่งสัดส่วนตามภูมิภาคของประเทศไทย สถาปัตยกรรมบางอย่างเป็นการจำลองจากของจริง แต่บางอย่างได้นำของจริงมาบูรณะให้เหมือนเดิมมากที่สุด
เรียกได้ว่าถ้าไปเมืองโบราณถือว่าไปที่เดียวเที่ยวครบทั่วไทยจริงๆค่ะ
หลายคนสงสัย เนื้อที่ตั้ง 800 ไร่ จะเดินยังไงไหว ไม่ต้องกังวลไป ที่นี่เขาอนุญาตให้ขับรถเที่ยวได้ รถรางก็มีให้ขึ้นค่ะ แถมมีจักรยานให้เช่าด้วย ก่อนเข้าชมเราจะต้องไปซื้อบัตรก่อนนะคะ เมื่อซื้อบัตรเสร็จเราจะได้รับกระดาษมา 1 แผ่น ซึ่งก็คือแผนที่นั่นเองค่ะ
ส่วนเราเช่าจักรยานค่ะ เพื่อความอินดี้ 🙂 เราจะได้รับบัตรนักปั่น 1 ใบ เพื่อไปรับรถจักรยาน เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราก็ลุยเลย…
หอพระแก้ว สวยจริงๆค่ะ
นอกจากจะเป็นที่เที่ยวเพื่อความเพลิดเพลินใจแล้ว เราว่าที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่ดีสำหรับเด็กเลยแหละ การอ่านหนังสือท่องจำในห้องเรียน ยังไงก็คงไม่สำคัญเท่าการให้เด็กๆได้มาเห็นและสัมผัสของจริงว่ามั้ยคะ
กลางวันแบบนี้ หลายท่านอาจคิดว่าคงร้อนน่าดู ไม่ต้องคิดหรอกค่ะ ร้อนแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้ร้อนมาก เพราะตลอดเส้นทางที่เราปั่นจักรยานจะมีต้นไม้เยอะแยะไปหมด พอมีลมมาเราก็จะเย็นสบาย
แอบเห็นหลายคนเอาอาหารมานั่งปิคนิคกันเป็นครอบครัว ไอ้เรามาครั้งแรกก็ไม่ได้เตรียมของมาเหมือนคนอื่น เห็นแล้วก็หิว
ปั่นจักรยานมาได้สักพักก็พบโซนขายอาหาร เพียบเลย ฮ่าๆ
เรือสำเภาไทยโบราณ สามารถขึ้นเพื่อไปดูข้างในได้
โซนวิถีชีวิตชาวอีสาน ทุกอย่างดูสมจริงมาก ไก่ก็เป็นไก่จริง มาโซนนี้รับรองตื่นเต้น เพราะมีเสียงไก่ขันด้วย
โซนนี้มีขายของที่ระลึกด้วย
ทั้งปราสาท เมืองเก่า ที่นี่มีครบ เป็นแหล่งเรียนรู้ศิลปะ วัฒนธรรมอย่างดี เพราะสถานที่หรือสิ่งปลูกสร้างแต่ละอย่างจะมีการให้ข้อมูลความรู้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งในรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ถ้าไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหน ลองแวะที่นี่ดูค่ะ ได้ความรู้ด้วย
เมืองโบราณเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 17.00 น.
โดยสามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี
ค่าธรรมเนียม :
– ชาวไทย ผู้ใหญ่ 350 บาท เด็ก 175 บาท
– ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 500 บาท เด็ก 250 บาท
– สำหรับคนสมุทรปราการหรือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 250 บาท
**ถ้าต้องการนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไป มีค่าธรรมเนียมคันละ 300 บาท
วิธีการเดินทาง
รถยนต์ส่วนตัว :
ใช้เส้นทางด่วน ปลายทางที่สำโรง-สมุทรปราการ ถึงสามแยกสมุทรปราการ เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสุขุมวิท (ไปทางบางปู) ประมาณ กม. 33 เมืองโบราณจะอยู่ทางซ้ายมือ
รถโดยสารสาธารณะ :
ใช้รถโดยสารปรับอากาศ สาย ปอ. 511 (สายใต้ใหม่-ปากน้ำ) ลงที่สุดทางแล้วต่อรถสองแถวสาย 36 ซึ่งจะวิ่งผ่านหน้าทางเข้าเมืองโบราณ
ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.ancientcitygroup.net/
เที่ยวรอบเขื่อนแก่งกระจานสัมมนาที่แจ่มจันทร์รีสอร์ท
ทริปนี้เป็นทริปจัดสัมมนาของแผนก เราเลือกพักที่แจ่มจันทร์ รีสอร์ท 2 วัน 1 คืน โดยเลือกแพคเก็จที่รีสอร์ทจัดไว้ให้แล้ว คือ แพคเก็จ 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหาร 2 มื้อ 1,600 บาท/ท่าน ในแพคเก็จประกอบไปด้วยกิจกรรม ดังนี้
– เล่นน้ำหน้าแจ่มจันทร์รีสอร์ท
– ล่องแก่งเรือยาง แม่น้ำเพชร
– นั่งเรือยนต์รอบเขือน ชมพระอาทิตย์ตก
– รับประทานอาหารเย็น
– ขึ้นเขาพระเนินทุ่ง ชมทะเลหมอก ชมผีเสื้อ
– รับประทานอาหารเช้าบนยอดเขา
ออกเดินทางจากออฟฟิศแถวพระราม 4 ตอนเวลาประมาณ 9:30 น. ถึงที่พักประมาณ 12:00 น.
แจ่มจันทร์ รีสอร์ท ที่พักสไตล์โมเดิร์นตกแต่งด้วยปูนดิบเก๋ๆ ใช้เฟอร์นิเจอร์สีเข้มตัดกับสีของปูนดิบทำให้ดูสดุดตามากค่ะ เนื่องจากเรามากันเป็นหมู่คณะ เลยเช่าแบบทั้งหลังค่ะ ในรูปถ่ายมาจาก 2 ห้อง บางห้องจะเป็นเตียง 2 ชั้น
รีสอร์ทติดกับแม่น้ำ ทำให้เห็นวิวสวยมาก มีมินิมาร์ทของรีสอร์ทด้วย ในโซนนี้จะให้เราได้นั่งทานอาหารหรือสังสรรค์ไปพร้อมกับการชมบรรยากาศแม่น้ำและภูเขาไปด้วย เราใช้พื้นที่ส่วนนี้ด้านบนในการสัมมนากันค่ะ เราใช้เวลาในการสัมมนาประมาณ 3 ชั่วโมง
สามารถลงเล่นน้ำที่หน้ารีสอร์ทได้ และทางรีสอร์ทยังมีสไลเดอร์ให้ได้เล่นกันฟรีๆด้วยค่ะ
พอถึงเวลา 16:00น. ก็เปลียนชุดเพื่อไปทำกิจกรรมล่องเรือยางแม่น้ำเพชรบุรี ด้วยระยะทาง 8 กิโลเมตร มากันหลายคน แข่งกันมันส์เลยค่ะ ประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจากล่องเรือยางแล้ว ก็นั่งรถกลับมาที่รีสอร์ท ประมาณ 17:00 น. ก็จะมีรถมารอรับเพื่อเดินทางไปนั่งเรือยนต์ชมบรรยาการรออบเขื่อนและชมพระอาทิตย์ตก
“อากาศดีมากและวิวก็ดีมากด้วย ลมพัดเย็นสบาย เหมือนได้มาฟอกอากาศบริสุทธิ์ให้กับปอด หลังจากที่อยู่แต่ในเมือง เหมาะสำหรับท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศ ณ เวลานี้ คือโรแมนติกมากๆ”
พอมาถึงจะเห็นเรือยนต์ที่จอดเทียบท่ามากมายหลายลำ บนเรือจะมีเสื้อชูชีพให้ใส่ด้วย ซึ่งทุกคนจะต้องใส่ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
“ภาพน้ำสีเขียวเข้มถูกแสงจากพระอาทิตย์ตกกระทบ ตัดกับภูเขาที่สลับกัน ไล่สีสัน ตามระยะสายตา เหมือนกับภาพวาดสีน้ำ ที่ดูแล้วสบายตามากๆ”
โชคดีมากที่วันนั้นได้เจอรุ้งกินน้ำ ในระหว่างที่นั่งเรือชมวิวรอบๆเขื่อน ในใจรู้สึกว่ามันน่ารักมาก
ทำให้คิดถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก เห็นรุ้งกินน้ำแล้ววิ่งตาม อยากจับรุ้งให้ได้ อยากรู้ว่ารุ้งกินน้ำที่ไหน กินยังไง ใช้อะไรกิน คำถามที่เกิดขึ้นมากมายสำหรับเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง ณ ตอนนี้รู้สึกขอบคุณทุกคนที่ได้ให้ความรู้แก่เรา ดีใจที่ได้เรียนหนังสือ ได้รู้ว่าจริงๆแล้วรุ้งที่เราเห็นคืออะไร
“ยังมีอีกหลายสิ่งบนโลกใบนี้ ที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เห็น และยังรอให้เราออกไปค้นหาคำตอบ “
ฟินกับวิวสวยๆ อากาศดีๆ ไปตามๆกันค่ะ
อ้อ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังค่ะ คนที่นั่งด้านข้างนี่ เปียกนะคะ น้ำกระเด็นใส่ค่ะ ตอนที่เรือแล่น แต่คนขับเขาก็จะมีจังหวะช่วงเร็วช้าให้ค่ะ ถ้าขับเร็วก็กระเด็นใส่กันถ้วนหน้า
ถ้าเอากล้องไปก็คงต้องระวังค่ะ จริงๆเห็นกับตาสวยกว่าเยอะค่ะ
“ธรรมชาติเขาไม่อยากให้เราเก็บภาพใส่กล้อง เพราะเมื่อไหร่ที่วิวสวยๆเราจะเจออุปสรรคมากมายกว่าจะเก็บภาพได้ เขาคงอยากให้เรามาเห็นเขากับตา ว่ามั้ยคะ เก็บไว้ในใจในความทรงจำดีกว่าค่ะ”
แสงสีทองจากท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกดินนี่สวยเกินบรรยายจริงๆนะคะ
หลังจากฟินกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เราก็กลับมาอาบน้ำ ทานอาหารเย็น พร้อมปาร์ตี้ตอนเย็นค่ะ ไม่มีภาพเลยค่ะ ขอบรรยายด้วยคำพูดแทนค่ะ ที่นี่มีคาราโอเกะให้ได้ร้องกันถึง 23:00 น. ค่ะ
ส่วนใครอยากต่อก็ไปต่อกันที่ห้อง ส่วนใครใคร่นอนก็ไปหลับฝันดีกันค่ะ จบแล้วกับ 1 วันเต็มๆ
ในตอนเช้าของวันที่ 2 เราตื่นกันตั้งแต่ 04:30 น. เพื่อที่จะออกไปชมผีเสื้อ และทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่ง ซึ่งจะต้องออกเดินทางตอนตี 5 ด้วยระยะทาง 50 กิโลเมตร ถ้าหากว่าช้ากว่านี้เราจะไม่ได้เห็นทะเลหมอก ที่นี่ขึ้นชื่อว่านักท่องเที่ยวสามารถชมทะเลหมอกได้ตลอดทุกฤดู ไม่จำเป็นจะต้องเป็นฤดูหนาว
พอถึงเวลา 05:00 รถก็มารับตามนัดหมายที่หน้ารีสอร์ท เป็นรถกระบะ มีที่นั่ง 2 ข้างเหมือนรถสองแถว มีหลังคา โดยจำกัดจำนวนคนต่อคันไม่เกิน 10 คน
ถนนจากรีสอร์ทไปถึงอุทยานเป็นทางเรียบสวย ชมบรรยากาศถนนสวย ที่มีอุโมงต้นไม้ตลอดทาง
เราออกเดินทางจากได้ซักพัก ฝนก็เริ่มตก พี่คนขับรถก็มากเรียกให้ไปขึ้นที่ cap ด้านหน้า ซึ่งแคบและนั่งได้ 4 คน ส่วนที่เหลือก็นั่งด้านนอก
พอไปถึงด่านของอุทยานก็จะมีที่พักรถ และเจ้าหน้าอุทยานมาตรวจคน และก็เดินทางต่อไป ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก ยังคงตกเรื่อยๆ ซึ่งรถไม่มีกันสาด ทำให้คนที่นั่งด้านหลังเปียกกันหมด เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้เนื่องจากทางขึ้นเขาแคบมากต้องวิ่งทางเดียว ค่อนข้างอันตราย ไม่ได้เรียบเหมือนต้นทางที่ผ่านมา ทางเป็นหลุมบ่อ และชัน พร้อมด้วยโค้งที่เยอะพอสมควร ซึ่งคนที่จะขับได้ต้องมีความชำนาญพอสมควร
ขึ้นเขาไปได้ซักพัก โชเฟอร์ก็ต้องหยุดรถ เพราะมีช้างป่าเดินข้ามถนน โชเฟอร์ต้องดับไฟและเครื่องยนต์เพื่อไม่ให้ช้างตื่นตัว เพราะค่อนข้างอันตราย แต่เราตื่นเต้นมากเลยนะ ช้างตัวใหญ่มาก
ระหว่างทางเราต้องข้ามลำธารเล็กๆ ประมาณ 3 ลำธาร ถ้าฝนไม่ตกเราว่าจะต้องเป็นอะไรที่ดีมากๆ เราไม่สามารถเก็บรูปมาให้ได้แต่เราจำทุกเหตุการณ์ได้
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมผีเสื้อ ใช้เลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ฝนก็ยังไม่หยุดตก และไม่สามารถลงจากเขาไปได้ เพราะจะมีเวลาขึ้น-ลง และยังคงมีรถตามขึ้นมาเรื่อยๆ มีหลายคณะที่มาเจอชะตากรรมเดียวกับพวกเรา ผิดหวังไปตามๆกัน
ที่นำเรื่องนี้มาเล่าเพราะอยากให้เป็นตัวอย่างกับหลายๆคน เราอาจจะต้องดูเรื่องของฝนฟ้าอากาศนิดนึงนะคะ ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะไปอีกครั้ง ไปชมผีเสื้อให้ได้ และวิวข้างทางค่อนข้างสวย แต่เราไม่สามารถถ่ายรูปมาได้เลย ): แต่เราก็ไม่เสียใจนะ เพราะมันคือ
สีสันของการเดินทาง
ภาพสุดท้ายก่อนออกเดินทางจากรีสอร์ทกลับกรุงเทพฯ
ปล.หลายคนสงสัยว่ามาสัมมนาแต่ไม่มีรูปสัมมนาเลย เรามาสัมมนาจริงนะ แต่ไม่ได้ลงรูปนะคะ
วัน เวลา
ต้นเดือน กรกฎาคม 2558
การเดินทางไปแจ่มจันทร์รีสอร์ท