แคสเปอร์สกี้ เผยภัยร้ายไซเบอร์เริ่มคุกคามวงการแพทย์ใน APAC

ในงานประชุมประจำปี Cybersecurity Weekend ครั้งที่ 5 ที่รวมนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริหารระดับสูงจาก 12 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้เปิดเผยว่า บริษัทกำลังจับตามองภัยไซเบอร์ที่คุกคามวงการแพทย์พร้อมเผยสถานการณ์ภัยไซเบอร์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

นายสเตฟาน นิวไมเยอร์ กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า ดาต้ากำลังป่วย บันทึกความลับทางการแพทย์กำลังถูกรุกล้ำ ดีไวซ์ขั้นสูงกำลังเปลี่ยนมนุษย์ให้มีส่วนของร่างกายที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ แนวคิดต่างๆ นี้ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างนิยายและความจริงไปเสียแล้ว ตอนนี้มันคือความจริง เกิดขึ้นจริงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก กระแส digitalisation ที่มาถึงภาคสาธารณสุขอย่างรวดเร็ว ทำให้อาชญากรไซเบอร์กำลังมองหาช่องทางเพิ่มเพื่อเข้าโจมตี ซึ่งต้องยอมรับว่า หน่วยงานทางการแพทย์ยังไม่พร้อมรับมือกับภัยออนไลน์รูปแบบนี้”

 

การโจมตีโรงพยาบาลและอุปกรณ์การแพทย์เกิดขึ้นแล้วทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ก้าวหน้าในฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีหลังๆ มานี้พบภัยคุกคามที่รุกล้ำมายังฝั่งเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น มีรายงานคาดการณ์ว่า วงการแพทย์ในภูมิภาคนี้สามารถประสบเหตุโจมตีทางไซเบอร์และสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 23.3 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

ประเทศสิงคโปร์ซึ่งถูกจัดให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจและภูมิภาคของเอเชียได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์องค์กรทางการแพทย์ถูกรุกล้ำข้อมูลรวม 4 ครั้ง ในรอบ 12 เดือน เหตุการณ์หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับข้อมูลการแพทย์ของนายกรัฐมนตรีของประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีแรนซัมแวร์วอนนาคราย (Wannacry) ที่โจมตีหน่วยงานการแพทย์หลายแห่งในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะที่จีน ฮ่องกง และเวียดนาม

 

ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์จากทีมวิเคราะห์และวิจัยของแคสเปอร์สกี้ หรือทีม GReAT (Global Research and Analysis Team) กำลังเร่งตรวจสอบเพื่อเปิดโปงแคมเปญใหม่ที่คืบคลานเข้าโจมตีอุปกรณ์การแพทย์และสถานพยาบาลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและภูมิภาคอื่นๆ

 

นายวิทาลี คัมลัก หัวหน้าทีม GReAT ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้นำทีมนักวิจัยในครั้งนี้ กล่าวว่า “สถานการณ์ฝุ่นกัมมันตรังสีหลังระเบิดนิวเคลียร์เชอร์โนบิลมีแง่มุมที่เหมือนกับภัยคุกคามไซเบอร์ ด้วยตาเปล่าไม่สามารถมองเห็นรังสีจากเหตุการณ์ที่ผ่านมานานนับทศวรรษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์จนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับภาคการแพทย์ที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยการแพร่ระบาดของภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายต่อวงการแพทย์และมีความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ลักษณะของภัยคุกคามไซเบอร์นั้นยากที่จะมองเห็นก็จริง แต่คำถามสำคัญคือ เราได้พยายามมากพอหรือยังถึงจะเห็นว่าภัยคุกคามนั้นกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของเรา”

 

นายสเตฟานกล่าวเสริมว่า “วงการการแพทย์นั้นเป็นวงการที่สำคัญยิ่งยวดและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าขณะนี้วงการแพทย์จะยังไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายใหญ่อย่างธนาคาร แต่ก็มีเอกสารสำคัญรวมถึงบันทึกงานวิจัยขั้นสูงที่อาจเป็นเป้าหมายการโจมตีของอาญชกรไซเบอร์ได้”

ควันหลง Wannacry แคสเปอร์สกี้ เผยจำนวนดีไวซ์การแพทย์ทั่วโลกถูกโจมตีลดลง แต่ APAC บางประเทศยังสูง

นานกว่าสองปีแล้วที่แรนซัมแวร์ Wannacry ชื่อกระฉ่อนได้โจมตีหน่วยงานการแพทย์และองค์กรอื่นๆ ทั่วโลก หน่วยงานทางการแพทย์ดูจะเรียนรู้จากเหตุการณ์นี้และแก้ไขระมัดระวังมากขึ้นด้วยตัวเลขในปี 2019 ระบุว่าจำนวนอุปกรณ์การแพทย์ที่ถูกโจมตีมีจำนวนลดลง

 

สถิติจากแคสเปอร์สกี้แสดงว่า อุปกรณ์โรงพยาบาล 30% ที่ถูกโจมตีในปี 2017 ลดลงเหลือ 28% ในปี 2018 และเหลือแค่ไม่ถึงหนึ่งในสามหรือ 19% ในปี 2019 นี้

 

อย่างไรก็ตาม แคสเปอร์สกี้ก็แจ้งเตือนว่า จำนวนอุปกรณ์ที่ถูกโจมตีลดลงนั้นเป็นตัวเลขโดยรวมทั่วโลก แต่บางประเทศยังมีตัวเลขการโจมตีที่สูง อุปกรณฺการแพทย์จำนวนมากกว่าเจ็ดในสิบเครื่องในประเทศเวเนซูเอล่า (77%) ฟิลิปปินส์ (76%) ลิเบีย (75%) และอาร์เจนติน่า (73%) ยังถูกโจมตีผ่านเว็บอยู่ อีกสองประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ติดโผ 15 ประเทศที่มีจำนวนการถูกโจมตีสูงสุดของโลก คือ บังกลาเทศ (58%) และไทย (44%)

 

ตัวเลขข้างต้นเป็นตัวเลขที่นักวิจัยตรวจพบผ่านโซลูชั่นของแคสเปอร์สกี้ในอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งเซิร์ฟเวอร์ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โมบาย แท็บเล็ต อุปกรณ์ไอโอที และเครื่องมือทางการแพทย์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต

 

ยูริ นาเมสนิคอฟ หัวหน้าทีม GReAT หรือทีมวิเคราะห์และวิจัยของรัสเซีย บริษัท แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “แม้ว่าเราอยากจะเชื่อว่า ทุกคนได้ตระหนักถึงภัยคุกคามร้ายผ่านเหตุการณ์ Wannacry มาแล้ว แต่ความจริงคือยังมีอีกหลายประเทศที่ยังดำเนินการล่าช้าในการป้องกันภัยไซเบอร์ต่ออุปกรณ์การแพทย์ ปัจจัยหนึ่งที่เราสังเกตได้คือ โอกาสที่จะถูกโจมตีนั้นขึ้นอยู่กับงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้ อีกปัจจัยคือความตระหนักถึงภัยไซเบอร์ในสถานพยาบาล”

 

แคสเปอร์สกี้ ขอแนะนำสถานพยาบาลดังนี้

  • ต้องมองว่าความปลอดภัยไซเบอร์เป็นเรื่องสำคัญ
    • การโจมตีทางไซเบอร์ต่อสถานพยาบาลเป็นเรื่องที่ควรปฎิบัติอย่างมืออาชีพ เพราะมีความเสี่ยงต่อชีวิตได้
    • บุคลากรในสถานพยาบาลควรเข้าใจถึงภัยคุกคามไซเบอร์และดำเนินการป้องกันระบบงานต่างๆ
    • เซอร์วิสด้านข้อมูลภัยคุกคามและรายงานต่างๆ สามารถช่วยให้สถานพยาบาลเข้าใจและป้องกันการโจมตีไซเบอร์ที่อาจะเกิดขึ้นได้
  • ตรวจสอบความสามารถด้านความปลอดภัยของซัพพลายเออร์ที่ใช้
    • เครื่องมือทางการแพทย์มักมีราคาค่อนข้างสูงและรับประกันนานกว่าสิบปี ผู้ผลิตจึงควรพิจารณาการใช้งานฮาร์ดแวร์ที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันช่องโหว่ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
    • ผู้ขายควรพิจารณาการตั้งทีมรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์เกิดขึ้น
  • ตรวจสอบการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์
    • โรงพยาบาลและสถานพยาบาลมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้นทุกวัน จึงควรตรวจสอบว่าบุคลากรใดได้สิทธิ์เข้าถึงเซิร์ฟเวอร์และดาต้าบ้าง
    • โรงพยาบาลเป็นสถานที่สาธารณะ พนักงานเก่าที่มีปัญหากับโรงพยาบาลสามารถก่อความเสียหายได้ เช่น ลบข้อมูลต่างๆ ออกจากระบบ
  • การกำหนดกฏระเบียบความปลอดภัยไอทีเป็นเรื่องจำเป็น
    • เช่นเดียวกับหน่วยงานด้านการเงิน ภาคสาธารณสุขก็ควรมีการร่างกฎหมายกฏระเบียบต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ต่อสถานพยาบาลที่เพิ่มมากขึ้น
  • การอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์แก่พนักงานในโรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาลอื่นๆ เป็นเรื่องจำเป็นมาก

 

Kaspersky เผยครี่งปีแรกตรวจจับฟิชชิ่งใน SEA ได้มากกว่า 14 ล้านครั้ง

พบพยายามโจมตีผู้ใช้ในไทย 1.5 ล้านครั้ง

โจรไซเบอร์ใช้วิธีเก่าแต่ยังเก๋า พร้อมแนะยูสเซอร์รุ่นใหม่ให้เพิ่มความระแวดระวัง

Kaspersky เผยสถิติล่าสุดพบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงเป็นเป้าหมายของอาชญากรไซเบอร์ในการแพร่กระจายไปยังเน็ตเวิร์กและดีไวซ์ต่างๆ ผ่านวิธีที่ง่ายที่สุดแต่ก็ยังเป็นวิธีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือ “ฟิชชิ่ง” Kaspersky สามารถตรวจจับความพยายามโจมตีด้วยฟิชชิ่งในภูมิภาคนี้ได้มากถึง 14 ล้านครั้ง ในระยะเวลาเพียงครึ่งปีที่ผ่านมาเท่านั้น

 

Kaspersky เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกพบความพยายามในการดึงผู้ใช้ตรงไปยังเว็บไซต์ฟิชชิ่งปริมาณสูงสุดที่ประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย มากกว่า 11 ล้านครั้งรวมกัน สำหรับประเทศไทยพบความพยายามโจมตีมากถึง 1.5 ล้านครั้ง ฟิลิปปินส์มากกว่า 1 ล้าน และสิงคโปร์เพียง 351,510 ครั้งเท่านั้น

 

เมื่อพิจารณาจำนวนของผู้ใช้ที่ถูกโจมตีด้วยฟิชชิ่ง พบว่า ฟิลิปปินส์มีจำนวนเหยื่อฟิชชิ่งมากที่สุด คือ 17.3% สูงกว่าปีที่แล้วที่มีจำนวนเหยื่อ 10.449% ซึ่งคิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 65.56% เลยทีเดียว

 

โดยมาเลเซียตามมาเป็นอันดับสองคือ 15.829% (ครึ่งปีแรก 2018 อยู่ที่ 11.253%) ตามมาด้วยอินโดนีเซียที่ 14.316% (ครึ่งปีแรก 2018 อยู่ที่ 10.719%) ไทย 11.972% (ครึ่งปีแรก 2018 อยู่ที่ 10.9%) เวียดนาม 11.703% (ครึ่งปีแรก 2018 อยู่ที่ 9.481%) และสุดท้ายสิงคโปร์ 5% (ครึ่งปีแรก 2018 อยู่ที่ 4.142%)

 

ความพยายามโจมตีด้วยฟิชชิ่งแสดงถึงความถี่ที่อาชญากรไซเบอร์พยายามล่อหลอกให้ผู้ใช้ Kaspersky เข้าเว็บไซต์ปลอมเพื่อขโมยข้อมูล ขณะที่จำนวนของผู้ใช้ที่ถูกโจมตีแสดงถึงสัดส่วนของผู้ใช้ Kaspersky ที่เป็นเป้าหมายของการพยายามโจมตีในช่วงเวลาหนึ่งๆ

 

นายโย เซียง เทียง ผู้จัดการทั่วไป Kaspersky ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ภัยคุกคามที่เก่าแต่เก๋าตัวนี้มีอยู่จริงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ และไม่มีทีท่าจะหมดไปในเร็วๆ นี้ ภูมิภาคของเราประกอบด้วยประชากรรุ่นใหม่ที่มีความคล่องตัวสูง ที่เรายังจำเป็นต้องให้ความรู้เรื่องความเสี่ยงของฟิชชิ่งซึ่งเป็นการโจมตีไซเบอร์ทั่วไป ผู้ใช้รุ่นใหม่จะซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่และจะคำนึงเรื่องความปลอดภัยเฉพาะที่ตัวเครื่องไม่ใช่เวอร์ชวล ตราบใดที่ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตลดการป้องกันลง ก็แน่นอนว่าจะมีเหยื่อฟิชชิ่งเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ อย่างแน่นอน”

 

ประสิทธิภาพของกลลวงฟิชชิ่งนั้นพิสูจน์ได้จากการที่อาชญากรไซเบอร์สามารถนำข้อมูลส่วนบุคคลมาขายต่อได้ง่ายๆ ในตลาดมืด พวกนักต้มตุ๋นมักมองหาข้อมูลอย่างหมายเลขบัตรเครดิต รวมถึงพาสเวิร์ดบัญชีธนาคารและแอปพลิเคชันการเงินต่างๆ

 

ทั้งๆ ที่หน่วยงานรัฐและภาคเอกชนต่างประกาศเตือนผู้ใช้อยู่เสมอไม่ให้เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวในอินเทอร์เน็ต แต่จำนวนเหยื่อก็ยังเพิ่มสูงขึ้น และถึงแม้จะมีความตระหนักรู้จักกลโกงออนไลน์มากขึ้น แต่ผู้ใช้ก็ยังระแวดระวังลดลง

 

นายโย เซียง เทียง กล่าวเสริมว่า “นี่เป็นสัญญาณเตือนอันตรายว่าฟิชชิ่งยังคงมีประสิทธิภาพมากในการหลอกลวงผู้ใช้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาชญากรไซเบอร์ยังใช้วิธีส่งเมลแบบเดิมเป็นปีๆ แต่ก็ยังหลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลส่วนตัวหรือคลิกลิ้งก์ปลอมได้ สถิติล่าสุดของเรายืนยันว่า เราจำเป็นต้องเร่งเปลี่ยนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในภูมิภาคนี้ให้เป็นผู้ใช้ที่รู้เท่าทันและสามารถแยกแยะกลโกงต่างๆ ได้”

 

Kaspersky แนะนำขั้นตอนหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อฟิชชิ่งดังนี้

  • ระแวดระวังอีเมลน่าสงสัยอยู่เสมอ ถ้าอีเมลมีเนื้อหาที่ดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง ให้เช็คซ้ำๆ ถ้าเป็นอีเมลที่อ้างว่ามาจากธนาคาร ควรโทรศัพท์ไปตรวจสอบกับธนาคารทันที โดยปกติแล้ว ธนาคารจะไม่สอบถามพาสเวิร์ดทางอีเมล แต่มักจะพูดคุยสอบถามข้อมูลหรือให้กรอกแบบฟอร์มที่ธนาคาร
  • หากใช้อีเมลฟรี ควรมีอีเมล 2 บัญชี บัญชีแรกสำหรับใช้งานหลักและอีกบัญชีสำหรับใช้งานเว็บไซต์ที่ต้องล็อกอินเพื่ออ่านข่าวหรือแจ้งข้อมูลต่างๆ
  • สมาร์ทโฟนทุกเครื่องไม่ได้ปลอดภัย จึงควรระวังข้อความที่จะพาไปยังเว็บไซต์ต่างๆ มีซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายมากมายที่สามารถดึงข้อมูลจากแอปในเครื่องได้
  • ใชโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ที่มีฟีเจอร์แอนตี้ฟิชชิ่งและปกป้องการใช้จ่ายออนไลน์ เช่น like Kaspersky Internet Security, Kaspersky Total Security, และ Kaspersky Security for Cloud
  • และวิธีป้องกันตัวจากฟิชชิ่งที่ดีที่สุดคือการพิจารณาอีเมลและข้อความที่ได้รับอย่างละเอียดรอบคอบ ในยุคดิจิทัลนี้ การระมัดระวังมากเกินไปไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงินออนไลน์

 

เกี่ยวกับ Kaspersky

 

Kaspersky เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตระดับโลกที่ก่อตั้งในปี 1997 ด้วยความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันเปลี่ยนเป็นโซลูชั่นความปลอดภัยยุคใหม่ ที่ให้บริการในการป้องกันสำหรับธุรกิจ โครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลและลูกค้าทั่วโลก การให้บริการของบริษัทประกอบด้วย การป้องกันปลายทาง โซลูชั่นการป้องกันความปลอดภัยแบบพิเศษจำนวนมาก และบริการเพื่อป้องกันภัยคุกคามดิจิทัล ซึ่ง Kaspersky ได้ป้องกันความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้กว่า 400 ล้านคน และอีกกว่า 270,000 องค์กร ที่ป้องกันความปลอดภัยให้กับทุกส่วนที่สำคัญสำหรับลูกค้า ศึกษาข้อมูลเพี่มเติมได้ที่ www.kaspersky.com

แคสเปอร์สกี้ แลป เตือนนายจ้างระวังลูกจ้างเก่าที่คับแค้นแน่นอก ใช้ช่องทางเพื่อแก้แค้นทางไซเบอร์

การเปลี่ยนลูกจ้างนับเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ แต่ในบางกรณีก็ส่งผลร้ายที่แสนเจ็บปวดได้ ลูกจ้างเก่าที่ออกจากบริษัทไปแล้วอาจสร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและการเงินของบริษัทได้เช่นกัน แคสเปอร์สกี้ แลป ขอยกเหตุการณ์และวิธีป้องกันลูกจ้างเก่าที่หมายแก้แค้นทางไซเบอร์ต่อบริษัท ดังนี้

 

พาสเวิร์ดมูลค่า 2 แสนเหรียญสหรัฐ

 

ในปี 2016 นายทริโน วิลเลียมส์ ทำงานเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีได้ยื่นเอกสารร้องเรียนต่อนายจ้าง คือ สถาบัน American College of Education เรื่องการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ จากนั้นไม่นานก็มีคำสั่งโยกย้ายให้ไปทำงานที่ออฟฟิซในเมืองอื่น ซึ่งนายทริโนได้ปฏิเสธคำสั่งนี้เพราะได้แจ้งเงื่อนไขการทำงานทางไกล หรือ teleworking ตั้งแต่แรกเข้าทำงาน ท้ายที่สุดนายทริโนก็ต้องออกจากงานและแม้จะได้รับสินไหมทดแทนก็ไม่พอใจอย่างมาก จึงตัดสินเอาคืนนายจ้างด้วยการเปลี่ยนพาสเวิร์ดของบัญชี Google ทำให้สถาบันไม่สามารถเข้าใช้งานบัญชีเพื่อส่งอีเมลและเอกสารให้นักเรียนกว่า 2 พันคนได้

 

นายทริโนอ้างว่าพาสเวิร์ดนี้เซฟอัตโนมัติเองในแล็ปท็อปที่ใช้ทำงานของเขา ซึ่งได้ส่งคืนหลังจากถูกไล่ออกทันที แต่ทางนายจ้างระบุว่า นายทริโนลบข้อมูลทุกอย่างในเครื่องทั้งหมดก่อนส่งคืน

 

นายจ้างจึงได้ติดต่อ Google เพื่อขอกู้คืนบัญชีนี้ แต่กลายเป็นว่าบัญชีอีเมลนี้จดทะเบียนเป็นบัญชีส่วนบุคคลของนายทริโน ไม่ใช่บัญชีของสถาบัน ทนายของนายทริโนได้กล่าวเป็นนัยๆ ว่า นายทริโนอาจจะจำพาสเวิร์ดได้หากสถาบันจ่ายเงิน 2 แสนเหรียญ พร้อมจดหมายรับรองการทำงานในแง่บวก

 

การโจมตีต่อหน้าต่อตา

 

นายริชาร์ด นีล ผู้ก่อตั้งร่วมและอดีตผู้อำนวยการฝ่ายไอทีของบริษัทด้านความปลอดภัยไอทีชื่อ Esselar ต้องออกจากบริษัทแบบจบไม่สวยและใช้เวลานาน 6 เดือนเพื่อวางแผนแก้แค้นเพื่อให้เพื่อนร่วมงานเก่าเสียชื่อเสียง นายริชาร์ดรอถึงวันที่บริษัท Esselar ถึงกำหนดสาธิตเซอร์วิสให้ลูกค้ารายใหญ่ชื่อ Aviva ในวันนั้นเองนายริชาร์ดได้แฮ็กโทรศัพท์มือถือของพนักงานบริษัท Aviva กว่า 900 เครื่องและลบข้อมูลทั้งหมด

 

เหตุการณ์นี้ทำให้ Aviva ยกเลิกธุรกิจและเรียกร้องเงิน 7 หมื่นปอนด์เป็นค่าเสียหาย แต่มูลค่าความเสียหายโดยรวมทั้งด้านชื่อเสียงและโอกาสทางธุรกิจของ Esselar นั้นคาดว่าสูงถึง 5 แสนปอนด์ ทำให้บริษัทต้องดำเนินการปรับเปลี่ยนแบรนด์เพื่อความอยู่รอด

 

การลบข้อมูลฉับไวและเสียหายสาหัส

 

ไม่เพียงแต่ลูกจ้างเก่าเท่านั้นที่อันตราย อีกเหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจนั้นเกิดจากพนักงานที่สงสัยว่าตัวเองจะโดนไล่ออก นางสาวแมรี่ ลูเป้ คูลี่ ผู้ช่วยผู้อำนวยการของบริษัทสถาปนิกแห่งหนึ่ง ได้บังเอิญไปเห็นประกาศรับสมัครงานในตำแหน่งของเธอ ซึ่งมีข้อมูลให้ติดต่อเจ้านายของเธอหากสนใจสมัครงาน

 

นางสาวแมรี่คาดว่าตัวเองกำลังจะโดนไล่ออก จึงได้ลบข้อมูลโครงการต่างๆ ย้อนหลังไปถึง 7 ปีทิ้งหมด ทำให้บริษัทเสียหายราว 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่แท้จริงแล้ว ประกาศรับสมัครงานนั้นเป็นประกาศของบริษัทอื่นที่คู่สมรสของเจ้านายฝากให้ติดต่อแทนนั่นเอง

 

วิธีการป้องกันการตกเป็นเหยื่อการแก้แค้นทางไซเบอร์

 

เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกจ้างเก่าสร้างความเสียหายแก่ระบบโครงสร้างไอทีของบริษัท แคสเปอร์สกี้ แลป ขอแนะนำบริษัทให้ปฏิบัติดังนี้

  • เก็บล็อกสิทธิ (right) ด้านไอทีของพนักงาน รวมถึงบัญชีและรีซอร์สที่พนักงานเข้าใช้งาน ให้สิทธิเพิ่มเติมอื่นๆ เฉพาะเมื่อพนักงานจำเป็นต้องใช้เท่านั้น
  • รีวิวและปรับปรุงรายการ right ต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ และยกเลิก permission ที่เก่าหรือหมดอายุใช้งาน
  • จดทะเบียนรีซอร์สของบริษัทด้วยชื่อที่อยู่ของบริษัทเท่านั้น ไม่ว่าบัญชีแบบบุคคลทั่วไปจะมีสิทธิประโยชน์แบบไหน หรือพนักงานคนนั้นน่าเชื่อถือเพียงใดก็ตาม โปรดระลึกไว้เสมอว่าความสัมพันธ์เชิงธุรกิจย่อมเป็นธุรกิจทุกอย่าง โดเมนเนม บัญชีโซเชียลมีเดีย แดชบอร์ดควบคุมเว็บไซต์ ควรเป็นทรัพย์สินของบริษัท และการยกการควบคุมดูแลให้พนักงานถือเป็นการไม่มองการณ์ไกล
  • ปิดกั้นสิทธิการเข้าถึงและบัญชีของพนักงานเก่าโดยเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ คือปิดทันทีที่เลิกจ้าง
  • ไม่เปิดเผยเรื่องการเลิกจ้างหรือการปรับปรุงโครงสร้างบริษัท และระลึกว่าการประกาศรับสมัครพนักงานในตำแหน่งเฉพาะเจาะจงนั้นอาจมีพนักงานพบเห็นได้
  • พยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีกับพนักงานทุกคน สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดีและเป็นมิตร การโจมตีทางไซเบอร์จากพนักงานเก่านั้นมักมีสาเหตุจากความคับแค้นใจมากกว่าความละโมบ

 

แคสเปอร์สกี้ แลป แนะวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงยุคดิจิทัลให้ปลอดภัย

แคสเปอร์สกี้ แลป ร่วมกับบริษัทวิจัย Opeepl สำรวจเจ้าของสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนจำนวน 7,740 คน ใน 15 ประเทศทั่วโลก* เพื่อศึกษาผลกระทบของเทคโนโลยีต่อความปลอดภัยของสัตวเลี้ยง ปรากฏว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงในบ้าน ทุกๆ หนึ่งในห้าคนจะใช้อุปกรณ์ดิจิทัลเพื่อคอยสอดส่อง หรือเพื่อดูแลความปลอดภัยสัตว์เลี้ยงของตน และพบว่าผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้จำนวน 39% กลับก่อความเสี่ยงต่อสัตว์เลี้ยง หรือต่อผู้เป็นเจ้าของเสียเอง

 

เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แคสเปอร์สกี้ แลป ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับจุดบอดในอุปกรณ์ติดตามหมาแมวที่ผู้ร้ายไซเบอร์สามารถใช้เป็นช่องลักลอบขโมยข้อมูลที่อยู่อาศัยของสัตว์เลี้ยง หรือแม้แต่ขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้เป็นเจ้าของก็ได้ ในการวิจัยล่าสุดพบว่าเทคโนโลยีที่เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของหมาแมวนั้นมีมากกว่าเครื่องติดตามตัว (trackers) อุปกรณ์ที่ถูกพูดถึงในหมู่ผู้เข้าร่วมการสำรวจมากที่สุดคือ เว็บแคมสำหรับดูพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตที่มีเกมให้สัตว์เลี้ยงเล่น ของเล่นดิจิทัล ฟีดเดอร์ให้อาหารอัตโนมัติ/ตู้กินน้ำ และอื่นๆ มากมาย

 

อย่างไรก็ตาม อะไรเป็นตัวรับรองว่าตัวควบคุมอุณหภูมิจะไม่ทำงานบกพร่องจนน้ำในตู้ปลาร้อนเกินไป หรือเครื่องให้อาหารอัตโนมัติที่ไม่ตอบสนองต่อคำสั่งจะไม่ปล่อยให้แมวหิวโหย เป็นต้น กรณีเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่น่าเศร้าและทรมานทั้งต่อสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ จากการสำรวจข้อมูล พบตัวอย่างว่า จำนวนอุปกรณ์ที่ใช้กับสัตว์เลี้ยงจำนวนครึ่งหนึ่งนั้นต่อเชื่อมกับอินเทอร์เน็ตได้ ย่อมเป็นช่องทางที่ผู้ร้ายไซเบอร์ใช้ได้เช่นกัน ผู้เข้าสำรวจ 14% เผยว่าอุปกรณ์ของพวกเขาเคยถูกแฮกอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ปัญหาอื่นที่เคยประสบ ได้แก่ อุปกรณ์หยุดทำงานหรือเริ่มมีอาการผิดปกติ ซึ่งผู้เข้าร่วมสำรวจส่วนใหญ่แจ้งว่าเป็นความเสี่ยงถึงชีวิตของสัตว์เลี้ยง (32%) สุขภาพ (32%) สุขภาพจิตของสัตว์เลี้ยง (23%) และแม้แต่สุขภาพจิตของเจ้าของเอง (19%)

 

เดวิด เอมม์ นักวิจัยด้านความปลอดภัยอาวุโส แคสเปอร์สกี้ แลป กล่าวว่า “เทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตของเรารวมทั้งสัตว์เลี้ยงเพื่อนรักขนปุยของเราสะดวกสบายขึ้น เทคโนโลยีอาจนำมาใช้ป้องกันสัตว์เลี้ยงให้ปลอดภัย ดูแลและทำให้สัตว์เลี้ยงสบายตัวได้ แต่ก็มีความเสี่ยงในการใช้งานเช่นเดียวกับอุปกรณ์ดิจิทัลทั่วไป ที่มีข้อบกพร่อง เสียพัง รวน หรือถูกแฮกได้ทั้งนั้น เพื่อเลี่ยงผลอันไม่เป็นที่พึงประสงค์ จึงต้องมีมาตรการเพื่อความปลอดภัยแบบง่ายๆ และมีแผนสำรองกรณีที่อุปกรณ์ชำรุด ทำงานบกพร่อง หรือโดนแฮก และแน่นอนว่า จะจำเป็นต้องเลือกซื้ออุปกรณ์ดิจิทัลอย่างรอบคอบระมัดระวัง เน้นสวัสดิภาพความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รักของคุณและครอบครัว”

 

ผู้เชี่ยวชาญจากแคสเปอร์สกี้ แลป แนะนำข้อปฏิบัติง่ายๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงแสนรักของคุณจะปลอดภัย ดังนี้

  • หากคุณเป็นเจ้าของสมาร์ทโฮม คุณควรจัดการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อการดูแลสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในบ้านของคุณ เช่นตัวอย่างในวิดีโอของพนักงานของแคสเปอร์สกี้ แลป ที่ดูแลสัตว์เลี้ยงที่อาศัยในสมาร์ทโฮมด้วยกัน (ดูวิดีโอที่นี่)
  • ก่อนตัดสินใจซื้ออุปกรณ์ใช้งาน ควรให้ความสนใจเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับข้อบกพร่องช่องโหว่ต่างๆ ได้ทางออนไลน์ ซึ่งหาได้ไม่ยาก เนื่องจากส่วนมากจะได้รับการทดสอบวิจัยมาก่อนที่จะวางตลาด ดังนั้ จึงไม่น่าจะยากที่จะตรวจสอบว่าข้อบกพร่องที่มีนั้นได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง ทางเลือกที่ดีที่สุด คือซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีการอัพเดทมาแล้วหลายครั้ง
  • ก่อนเริ่มต้นใช้งาน ควรเปลี่ยนพาสเวิร์ดที่ติดมากับอุปกรณ์ให้เป็นพาสเวิร์ดที่แข็งแกร่งและซับซ้อน
  • ไม่ควรให้คนนอกแอคเซสเข้าอุปกรณ์ เว้นเสียแต่ว่ามีความจำเป็นเฉพาะด้านเท่านั้น
  • ปลดการต่อเชื่อมทุกประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการใช้งานอุปกรณ์นั้น
  • หมั่นอัพเดทเฟิร์มแวร์ให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุดอยู่เสมอ
  • แคสเปอร์สกี้ แลป ได้ออกโซลูชั่นสำหรับการใช้งานสมาร์ทโฮมและอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ เพื่อการป้องกันอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ คือ “Kaspersky IoT Scanner” ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่ใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย บนแอนดรอยด์แพลตฟอร์ม ทำการสแกนเน็ตเวิร์ก Wi-Fi รายงานอุปกรณ์ที่ต่อเชื่อมกันอยู่ และระดับของความปลอดภัย

 

*งานวิจัยทางออนไลน์นี้ทำการสำรวจเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ใช้สมาร์ทโฟนอย่างน้อยที่สุดจำนวนหนึ่งเครื่อง ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน พ.ศ. 2561 ในประเทศสิงคโปร์ ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา บราซิล เม็กซิโก โคลัมเบีย อิตาลี เนเธอร์แลนด์ โปรตุเกส เบลเยี่ยม ตุรกี และรัสเซีย

 

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • รายงานเรื่อง I know where your pet is

https://securelist.com/i-know-where-your-pet-is/85600/

  • วิดีโอเรื่อง Can software keep your pets safe?

https://www.youtube.com/watch?v=-fh4RhzB3Eg

แคสเปอร์สกี้ แลป นำเสนอโซลูชั่นปกป้องไฮบริดคลาวด์ล่าสุด เพิ่มความมั่นใจให้องค์กร

องค์กรธุรกิจต่างตื่นตัวมองหาวิธีรับมือการเปลี่ยนแปลงของการดำเนินธุรกิจรูปแบบออโตเมชั่น หรือปริมาณข้อมูลธุรกิจที่ขยายตัวมหาศาล สถิติชี้ว่า เอ็นเทอร์ไพรซ์จำนวน 66% และ SMB จำนวน 49% กำลังมีแผนขยายโครงสร้างการใช้งานไฮบริดคลาวด์[i] และในเวลาเดียวกัน ทุกวินาที บริษัทองค์กรต่างรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยของข้อมูลของตนผ่านบริการคลาวด์ เพราะมีการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ[ii] เพื่อเป็นการสนับสนุนบริษัทเหล่านี้ในการก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัล และให้การใช้คลาวด์เป็นการตัดสินใจที่ปลอดภัย แคสเปอร์สกี้ แลป จึงได้ต่อยอดผลิตภัณฑ์ความปลอดภัยด้านเวอร์ช่วลไลเซชั่นและคลาวด์เพิ่มเติม ด้วยผลิตภัณฑ์ล่าสุดในชื่อ Kaspersky Hybrid Cloud Security — วิถีแห่งการป้องกันไฮบริดคลาวด์เน็กซ์เจเนเรชั่น สำหรับปกป้ององค์กรธุรกิจได้ทุกขนาด ใช้งานร่วมกับ Amazon Web Services (AWS) และ Microsoft Azure ได้

 

ขณะที่ธุรกิจต่างพากันวุ่นวายอยู่กับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคดิจิทัล ทีมงานไอทีก็จะต้องเผชิญความท้าทายที่จะสูญเสียการควบคุมความปลอดภัยในโครงสร้างคลาวด์ของพวกเขา การขาดวิสัยทัศน์ที่จะเห็นภาพรวมของระบบ ไฮบริดคลาวด์ จึงเป็นช่องโหว่ของโครงสร้างที่อาจถูกคุกคามโจมตีได้ ยิ่งกว่านั้น ความปลอดภัยที่มาในสภาพแวดล้อมของพับลิกคลาวด์นั้นเน้นไปที่การป้องกัน ‘cloud perimeter’ จึงไม่ครอบคลุมไปถึงข้อมูลขององค์กร ซึ่งอาจจะถูกเจาะเข้าไปก่อนที่จะถึงส่วนที่ได้รับการป้องกันไว้ด้วยซ้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องตกอยู่ในความยุ่งเหยิง องค์กรธุรกิจที่ใช้คลาวด์ จึงควรที่จะต้องมีโซลูชั่นเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะมาติดตั้งไว้ป้องกันตัว เช่น Kaspersky Hybrid Cloud Security

 

Kaspersky Hybrid Cloud Security ให้การปกป้องแอพพลิเคชั่นและข้อมูลที่ใช้งานคลาวด์เวิร์กโหลด เวอร์ช่วล รวมทั้งแบบกายภาพ ด้วยการนำประสบการณ์ของแคสเปอร์สกี้ แลป ด้านความปลอดภัยสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์แบบ software-defined ทั้งหมดมาใช้งานอย่างเต็มที่ โซลูชั่นแบบ API-based ทำงานเชื่อมโยงกับ Amazon Web Services (AWS) และบริการสนับสนุนด้านคลาวด์แพลตฟอร์มของ Microsoft Azure ทำให้ทรัพย์สินทุกชิ้นลูกค้าที่ใช้งานได้รับการป้องกันแม้เมื่ออยู่บนพับลิกคลาวด์ วิธีการที่โซลูชั่น Kaspersky Hybrid Cloud Security ใช้ในการป้องกันสภาพแวดล้อมการใช้งานมัลติคลาวด์จากภัยคุกคามไซเบอร์ขั้นแอดวานซ์นั้นรวมเอา unified orchestration และเทคนิคการปฏิบัติการแบบโปร่งใส การทำให้ระบบแข็งแกร่งขึ้น และการป้องกันเวิร์กโหลดไว้ด้วย รวมทั้งการป้องกันรันไทม์ที่มีแมชชีนเลิร์นนิ่งมาคอยสนับสนุนด้วย

 

วิสัยทัศน์ในการมองเห็นกิจกรรมต่างๆ บนคลาวด์ คือกุญแจในการป้องกันการทำงานแบบไฮบริดคลาวด์

 

องค์กรธุรกิจที่ย้ายมาใช้พับลิกคลาวด์มักต้องเผชิญกับปัญหาด้านความปลอดภัยในช่วงย้ายระบบ ซึ่งค่อนข้างซับซ้อน มักจะเป็นปัญหาจากสภาพแวดล้อมเวอร์ช่วลที่ใช้งานขององค์กรธุรกิจและของผู้ให้บริการพับลิกคลาวด์, เวอร์ช่วลมาชีน และเวิร์คสเปซพื้นที่ในการทำงาน

 

แม้หลังการผนวกระบบแล้ว ทีมไอทีอาจจะยังคงต้องเผชิญปัญหาความโปร่งใสของการดูแลระบบให้ทั่วถึง เพราะว่าต้องอาศัยใช้งานผ่านพาเนลการบริหารระบบหลายพาเนลทั้งของพับลิกและไปรเวทคลาวด์ โซลูชั่น Kaspersky Hybrid Cloud Security ช่วยให้องค์กรธุรกิจมีระบบความปลอดภัยที่สมบูรณ์ดูแลอย่างต่อเนื่องอยู่ในโครงสร้างเวอร์ช่วล โซลูชั่นทำงานแบบออโตเมทอย่างต่อเนื่องคอยรับมือกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เข้ามา และให้ full visibility และศักยภาพในการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ทั้งระบบ ทีมงานความปลอดภัยด้านไอทีมีความสามารถในการควบคุมจัดการผู้ที่มีแอคเซสเข้าข้อมูลบริษัททั้งแบบที่อยู่ในบริษัทและที่อยู่บนคลาวด์ ด้วย cloud-integrated security orchestration console ตัวอย่างเช่น ทีมไอทีสามารถเซ็ทอัพตั้งค่าการแจ้งเตือนด้านความปลอดภัยเพื่อให้แน่ใจได้ว่าการใช้งานทั้งหมดได้รับการเฝ้าระวัง และธุรกรรมเชิงธุรกิจ รวมทั้งข้อมูล และแอพพลิเคชั่นขององค์กรทั้งหมดได้รับความปลอดภัยถึงขั้นแอดว้านซ์

 

เคล้ดลับการปกป้องข้อมูล: ปกป้องคลาวด์ของคุณ

ในหลายกรณี คลาวด์จัดเป็น พื้นที่สีเทา ของบริษัท มี เอ็นเทอร์ไพรซ์ 28% ที่พิจารณาว่าคลาวด์เป็นภัยคุกคามต่อธุรกิจของพวกเขา มากกว่าที่จะเป็นตัวเปิดโอกาส[iii] การป้องกันข้อมูลเป็นหนึ่งในข้อกังวลหนักหนาสำหรับผู้ที่หันมาใช้คลาวด์ จากภัยคุกคามในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยที่ซับซ้อนขึ้นทุกวัน แรนซั่มแวร์ที่คอยฉกโอกาส การโจรกรรมข้อมูล การฉ้อโกงทางการเงิน และความผิดพลาดเลิ่นเล่อของมนุษย์ก็เป็นอีกหนึ่งความพลาดที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง

 

ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าผู้ที่ให้บริการคลาวด์ กำลังทำงานอย่างหนักในการพัฒนายกระดับความปลอดภัยและความเสถียรของคลาวด์แพลตฟอร์ม อย่างไรก็ตาม ฟังก์ชั่นด้านความปลอดภัยต่างๆ ที่มากับคลาวด์นั้นก็ไม่สามารถที่จะรองรับความจำเป็นด้านต่างๆ ของธุรกิจองค์กรได้ทั้งหมด อาทิ การแบนหรือจำกัดการใช้แอพพลิเคชั่นที่ไม่ต้องการให้ใช้ในองค์กร เฝ้าระวังตามสอดส่องพฤติกรรมของแอพพลิเคชั่นที่ติดตั้งในองค์กร และการป้องกันระบบที่มีอยู่ให้พ้นจากการอาศัยช่องโหว่ที่อาจมีอยู่เข้ามาโจมตีระบบ เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้ล้วนเป็นภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของธุรกิจเองที่จะต้องจัดหาจัดการเพื่อความปลอดภัยของตนเอง

 

Kaspersky Hybrid Cloud Security ออกแบบเพื่อให้ตอบรับความจำเป็นเรื่องความปลอดภัยของโลก เอ็นเทอร์ไพรซ์ และไม่ลืมความต้องการด้านการป้องกันช่องโหว่ต่างๆ อีกด้วย โดย Kaspersky Hybrid Cloud Security จะทำการป้องกันด้วย ML-assisted protection ทำให้ระบบดูแลความปลอดภัยสามารถจับ บล็อก และแก้ไขเหตุที่ดูน่าจะเป็นอันตรายให้หมดฤทธิ์ก่อนเข้ามาถึงตัวหรือทำร้ายข้อมูลหรือการปฏิบัติงานได้ เพื่อให้เป็นการแน่ใจว่าช่องโหว่หรือจุดอ่อนต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบและซอฟท์แวร์ที่ใช้งานในองค์กรจะไม่ถูกผู้ร้ายไซเบอร์นำไปใช้ประโยชน์ เพื่อเข้าถึงข้อมูลธุรกิจบนคลาวด์ได้ โซลูชั่น Kaspersky Hybrid Cloud Security ใช้เทคนิคขั้นแอดวานซ์หลายตัวด้วยกัน เช่น exploit prevention ประเมินจุดอ่อนช่องโหว่ และการบริหาร automated patch การป้องกันที่มีอยู่หลายเลเยอร์ใน Kaspersky Hybrid Cloud Security เช่น anti-ransomware และ behavior detection นั้น ทำงานด้วยข้อมูลเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับภัยไซเบอร์ที่ทันสมัยใหม่ล่าสุด เพื่อสนับสนุนให้องค์กรธุรกิจสามารถที่จะต่อสู้ ป้องกันตัวจากภัยไซเบอร์ที่เกิดใหม่และวิวัฒนาการเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธ์ผล

 

“การป้องกันโครงสร้างคลาวด์และร์คโหลดที่เกี่ยวข้องทั้งหมดถือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ สำหรับบริษัทธุรกิจที่กำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงสู่โลกดิจิทัล” แดเนียล แคทเทดดู ประธานกรรมการบริหารฝ่ายเทคโนโลยี แห่ง Cloud Security Alliance กล่าวว่า “ถือเป็นก้าวสำคัญที่แคสเปอร์สกี้ แลปได้ขยายความสามารถของการป้องกันสำหรับพับลิกคลาวด์แพลตฟอร์มหลัก เป็นการพัฒนาสมรรถนะด้านความปลอดภัยในคลาวด์ให้แก่ Amazon Web Services และ Microsoft Azure และยังปกป้องได้ถึงหลายๆ ส่วนที่ทำให้เอ็นเทอร์ไพรซ์โล่งใจเรื่องการจัดการความปลอดภัยให้การทำงานบนคลาวด์ได้เป็นอย่างดี”

 

“พึงระลึกไว้เสมอว่าข้อมูลธุรกิจของเราที่อยู่บนคลาวด์นั้นมีค่ามากมายเพียงใด จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามที่จะต้องมีระบบป้องกันและเห็นภาพกิจกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนคลาวด์แพลตฟอร์มที่ใช้งาน ปรัชญาของเรานั้นคือการมีสมดุลการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างการป้องกันที่ดีเยี่ยมที่สุด การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถในการบริหารจัดการรวบรวมในระดับ เอ็นเทอร์ไพรซ์สำหรับสภาพแวดล้อมของการทำงานทั้งแบบพับลิกและไปรเวทคลาวด์ เราแน่ใจว่าลูกค้าของเราจะได้รับประสบการณ์ที่ประทับใจและความปลอดภัยในช่วงโอนย้ายมาสู่การทำงานบนคลาวด์ของ Amazon และ Microsoft Azure อันเป็นส่วนหนึ่งของโครงการก้าวเปลี่ยนมาสู่โลกดิจิทัล” กล่าวโดย วิตาลี มาโซคอฟ หัวหน้าธุรกิจโซลูชั่น แคสเปอร์สกี้ แลป

 

ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Kaspersky Hybrid Cloud Security ได้ที่นี่

https://www.kaspersky.com/enterprise-security/cloud-security

 

[i] According to ‘Cloud Zoo: Don’t Let Your Business Data Roam Free’ report

[ii] According to ‘Cloud Zoo: Don’t Let Your Business Data Roam Free’ report

[iii] According to ‘Cloud Zoo: Don’t Let Your Business Data Roam Free’ report