Mellanox Technologies นำเสนอโซลูชั่นระบบความปลอดภัยอนาคต และการเร่งประสิทธิภาพคลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์

เปิดตัวเวิร์กช้อปการอบรมความรู้ใหม่ภายใต้ชื่อ “What Just happened” ในการช่วยผู้ดูแลระบบสามารถตรวจพบปัญหาประสิทธิภาพการทำงานของระบบเครือข่ายได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาใหญ่จนส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในระบบ

 

Mellanox Technologies เมลลาน็อกซ์ เทคโนโลยีส์ผู้นำด้านโซลูชั่นอัจฉริยะประสิทธิภาพสูงแบบ End-to-End สำหรับการเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์และสตอเรจในศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ ประกาศเปิดตัวหลักสูตรการเรียนรู้ในประเทศไทยภายใต้ชื่อ “What Just Happened” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ให้แก่ผู้ที่มีหน้าที่ดูแลและจัดการระบบเครือข่ายในประเทศไทยได้มีความเข้าใจ และสามารถระบุชี้ปัญหาในการทำงานของระบบเครือข่าย หรือแอพพลิเคชั่นได้ก่อนส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานในองค์กร ทั้งนี้ เมลลาน็อกซ์ เทคโนโลยีส์ได้จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการขึ้นที่โรงแรมไอบิสสไตล์บางกอกรัชดา โดยร่วมมือกับ Agile Distribution (Thailand) ผู้จัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการ (VAR) ของเมลลาน็อกซ์ในประเทศไทย โดยได้รับความสนใจจากตัวแทนจากหลายภาคส่วนอุตสาหกรรมในประเทศไทยเข้าร่วมสัมมนา

 

โซลูชั่นการเชื่อมต่ออัจฉริยะของเมลลาน็อกซ์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูลด้วยการรองรับปริมาณงานสูงสุด ลดความหน่วงแฝง เพิ่มความเร็วการส่งข้อมูลสื่อสารกับแอพพลิเคชั่น  ปลดล็อคประสิทธิภาพให้ระบบ และยกระดับความปลอดภัย  ทั้งนี้เมลลาน็อกซ์เสนอทางเลือกที่ครอบคลุมการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นนระบบเครือข่าย  ระบบประมวลผลหลายแกน  เน็ตเวิร์ดอะแดปเตอร์  อุปกรณ์สวิตช์  สายเคเบิ้ล  ไปจนถึงซอฟท์แวร์และระบบซิลิคอน เพื่อช่วยเร่งการทำงานของแอพพลิเคชั่นและผลลัพธ์ธุรกิจที่แตกต่างกัน  รวมถึงคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูง (HPC) ศูนย์ข้อมูล  ระบบคลาวด์  ระบบสตอเรจ  ระบบความปลอดภัยไซเบอร์  ระบบสื่อสารโทรคมนาคม และบริการการเงิน

 

อีกทั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่ระบบเครือข่ายล่ม หรือทำงานช้าลง  เมลลาน็อกซ์มีโซลูชั่นให้ผู้ดูแลและผู้จัดการระบบเครือข่ายตรวจสอบกิจกรรมเครือข่าย และวัดการตอบสนองของแอพพลิเคชั่น เพื่อระบุจุดและจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาต่อระบบเครือข่ายหรือแอพพลิเคชั่นได้ก่อนส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั้งองค์กร โซลูชันที่ทำงานเฝ้าระวังและสอดส่องระบบเครือข่ายแบบเรียลไทม์จะสนับสนุนข้อมูลต่างๆ ให้ผู้ดูแลระบบเครือข่ายในการวิเคราะห์ว่า “เกิดอะไรขึ้นกับเครือข่าย” และสามารถอธิบายต่อผู้ใช้และผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้รับผลกระทบได้ทันที ไม่เสียเวลาในการตรวจสอบเหมือนในอดีต

 

สำหรับหลักสูตรการอบรมในครั้งนี้ นอกจากฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการระบุปัญหาเครือข่ายหรือการทำงานแอพพลิเคชั่นแล้ว ยังนำเสนอทิศทางแนวโน้มของการใช้งานศูนย์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่มีความทันสมัย  และแบ่งปันประสบการณ์ต่างๆ จากลูกค้า รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบระยะไกล (telemetry) ในการจัดการระบบเครือข่ายอัตโนมัติยุคใหม่ และยังได้นำเสนอเทคโนโลยีระดับผู้นำของเมลลาน็อกซ์ในอุปกรณ์ที่เรียกว่า SmartNIC (NIC คือ การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย ซึ่งทำหน้าที่ลดภาระการทำงานของระบบประมวลผลหลัก) และนำเสนอการออกแบบสถาปัตยกรรมระบบเครือข่าย

 

“ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดหลักที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องสำหรับเมลลาน็อกซ์  นับเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จในระดับภูมิภาคและระดับโลกของบริษัท  ดังจะสะท้อนให้เห็นในความมุ่งมั่นตั้งใจของบริษัทที่จะเพิ่มการลงทุนที่นี่ ซึ่งเมลลาน็อกซ์ตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้เป็นส่วนหนึ่ง และนำความเชี่ยวชาญและความรู้ของเรามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ศูนย์ข้อมูลของลูกค้า และยังทำให้คู่ค้าในประเทศไทยของเมลลาน็อกซ์เติบโตไปพร้อมกัน” มร. ชาร์ลี ฟู รองประธานและผู้จัดการทั่วไป ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น เมลลาน็อกซ์กล่าวและได้เสริมว่า “การถือกำเนิดของนวัตกรรมใหม่ เช่น 5G, ระบบออโตเมชั่น, การเรียนรู้ด้วยตัวเองของคอมพิวเตอร์  (machine learning) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ล้วนเป็นความท้าทายในการออกแบบระบบเครือข่ายและประสิทธิภาพการทำงานของระบบคลาวด์อย่างไม่ต้องสงสัย เมลลาน็อกซ์จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าในไทยเพื่อให้พวกเขาได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลรุ่นต่อไป เพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขัน และปลดล็อกเพื่อก้าวออกสู่โอกาสใหม่ๆ ไปกับลูกค้าของพวกเขา”

 

ข้อมูลของไอดีซีระบุว่าภายในปีพ.ศ. 2565 ร้อยละ 61 ของ GDP ของประเทศไทยจะถูกทำให้เป็นดิจิทัล ทุกอุตสาหกรรมจะมีการเติบโตอันมาจากแรงขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าที่ได้รับการส่งเสริมทางดิจิทัล การดำเนินการและปฎิสัมพันธ์ สร้างให้เกิดตัวเลขการใช้จ่ายสินค้ากลุ่มที่เกี่ยวข้องกับไอทีถึง 72,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปีพ.ศ. 2562-2565  โดยคาดการณ์ว่าในปีพ.ศ. 2565 นั้น ร้อยละ 60 ของรายจ่ายด้านไอทีจะถูกใช้จ่ายไปกับเทคโนโลยีที่อยู่บนแพลตฟอร์มยุคที่ 3 นี้ โดยที่มากกว่าร้อยละ 30 ขององค์กรทั้งหมดจะเดินหน้าสร้างสิ่งที่เรียกว่า “Digital-native” ให้กับระบบไอทีให้พร้อมรับการระบบเศรษฐกิจยุคดิจิทัล และในบริบทที่สอดคล้องกันจะมีองค์กรในไทยอีกราวร้อยละ 20 ที่ยังคงมีการใช้งานระบบคลาวด์จะรวมเทคโนโลยีอย่าง Edge Computing เข้าไว้ด้วย อีกร้อยละ 25 ที่ใช้งานอุปกรณ์ปลายทาง (endpoint devices) และระบบจะต้องหันมารองรับการนำเอาระบบปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาใช้งาน

4 ปัจจัยสำคัญในการเลือกโซลูชั่นบริหารจัดการเทเลมาร์เก็ตติ้ง แอสเพคตอบโจทย์ลูกค้าองค์กรยักษ์ใหญ่ อาคเนย์ประกันภัยมั่นใจเลือกใช้ Aspect® Unified IP™

ปัจจุบันเทเลมาร์เก็ตติ้งเป็นช่องทางหนึ่งสำหรับติดต่อ ให้บริการ สร้างสัมพันธภาพกับลูกค้า รวมถึงแจ้งข่าวสารข้อมูล โปรโมชั่นสินค้าและบริการ ต่างๆ  คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหน่วยงานเทเลมาร์เก็ตติ้งคือด่านหน้าขององค์กรที่ลูกค้าจะต้องพบเจอการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ ทีมงานที่ดี และระบบบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม

 

นางจันทร์ฟ้า  คุณาวิวัฒน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย แอสเพค ซอฟต์แวร์ อิงค์ กล่าวว่า  

แอสเพคเป็นซอฟต์แวร์บริหารจัดการสำหรับงานคอนแท็คเซ็นเตอร์และเทเลมาร์เก็ตติ้งสัญชาติอเมริกา ได้รับรางวัลในฐานะผลิตภัณฑ์ Contact Center Application มากมาย รวมทั้งรางวัล Communications Solutions Product of the Year โดย TMCNet ล่าสุดได้รับรางวัล Frost & Sullivan Thailand Contact Center Applications Vendor of the Year 2017   แอสเพค เทอราบิท ได้ยกระดับการบริการลูกค้า ทั้งประสิทธิภาพและฟังค์ชั่นของ Aspect Unified IP® ที่เพียบพร้อมสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า  โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เราได้ร่วมงานกับอาคเนย์ นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในการทำงานร่วมกับทีมงานเทเลมาร์เก็ตติ้ง  อาคเนย์ประกันภัย แอสเพคขอขอบคุณอาคเนย์ประกันภัยที่ให้ความไว้วางใจในระบบบริหารจัดการของเรา เรายินดีที่จะได้ทำงานร่วมกับอาคเนย์ต่อไปในอนาคตเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนากลยุทธ์ในการรักษาสัมพันธภาพลูกค้า”

 

นางลดาพร จุลทอง รองประธานกรรมการ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) แนะนำเคล็ดลับในการบริหารเทเลมาร์เก็ตติ้งให้ได้ประสิทธิภาพ “เรามีผู้ช่วยเป็นซอฟต์แวร์ของแอสเพค  ในการบริหารจัดการการติดต่อลูกค้าอย่างเป็นระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า”

 

“นอกจากนี้  ปัจจัยสำคัญ 4 ประการที่เรามองหาเวลาเลือกโซลูชั่นบริหารจัดการเทเลมาร์เก็ตติ้ง ได้แก่

1) Ease of Use ต้องใช้งานง่ายถึงง่ายที่สุด รวมถึง UI ที่เข้าใจง่าย ประหยัดเวลาฝึกอบรมพนักงานในการใช้งาน

2) Ease of Management บริหารจัดการข้อมูลและปริมาณการติดต่อลูกค้าได้อย่างเหมาะสม

3) Easy Reporting มีฟังค์ชั่นจัดทำรายงานที่ใช้งานได้ง่ายและสามารถนำไปเพิ่มประสิทธิภาพการขายได้  และ

4) Quick Response ต้องปรับโหมดการทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพื่อบริหารข้อมูลลูกค้าที่หลากหลายให้เหมาะสมจำนวนบุคลากรในทีม และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการติดต่อลูกค้า

 

อาคเนย์ได้เลือก Aspect®  Unified IP™ โซลูชั่น เพราะมีทั้งสี่ข้อนี้รวมอยู่ในแพลตฟอร์มเดียว ช่วยเราได้มากในเรื่องการบริหารจัดการแคมเปญและกลยุทธ์ในการโทรติดต่อลูกค้า”

 

 

 

 

เกี่ยวกับ แอสเพค ซอฟต์แวร์

แอสเพค ช่วยให้องค์กรต่างๆ แก้ไขอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการทำงานร่วมกันระหว่างบุคคล กระบวนการ ระบบ และแหล่ง ข้อมูล โดยช่วยให้องค์กรสามารถรวมเอาศักยภาพทั้งหมดมาผสานกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อมุ่งสู่งานให้บริการลูกค้า  เราพัฒนาระบบ  Contact Center Interactive Management  ระบบ Workforce Management  และระบบ Self-service  ภายในศูนย์บริการลูกค้าหนึ่งเดียว  โดยระบบจะสร้างการปฏิสัมพันธ์ผ่านการสนทนาโต้ตอบที่ฉับไวและมอบประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าในทุกช่องทางการสื่อสารโดยไม่สะดุด  อาศัยความคล่องตัวของโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ทั่วโลกของเรา และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานกว่า 40 ปี ทำให้แอสเพคสามารถเชื่อมโยงคำถามให้เข้ากับคำตอบได้อย่างสะดวกง่ายดาย  ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยให้องค์กรรักษาระดับการให้บริการให้คงอยู่ในระดับสูง และควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจไปพรอ้มๆ กัน  สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชมที่เว็บไซท์www.aspect.com

 

คุณสามารถติดตามเราได้บนทวิตเตอร์ @AspectSoftware หรืออ่านบล็อคของเราได้ที่ http://blogs.aspect.com

 

เกี่ยวกับอาคเนย์

อาคเนย์ กลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน เป็นหนึ่งในสายธุรกิจหลักของกลุ่มทีซีซี โดยนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งปัจจุบันกลุ่มอาคเนย์ประกอบด้วย 3 บริษัทหลักได้แก่ บริษัทอาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน)  บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) และบริษัท อาคเนย์แคปปิตอล จำกัด  หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.segroup.co.th