KLM สุดล้ำ! ใช้เทคโนโลยี AI ให้บริการจองตั๋วเสมือนคุยกับเจ้าหน้าที่

สายการบิน เคแอลเอ็ม รอยัลดัตช์ แอร์ไลน์ หรือ  KLM ประกาศเปิดตัวบริการใหม่เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารของสายการบิน โดยสามารถทำการจองตั๋วโดยสารได้เองผ่านแอพพลิเคชั่น Messenger ของ KLM ที่เรียกว่า BlueBot (BB) ที่สนับสนุนด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำของระบบ AI โดย BB นี้มีหน้าที่ให้บริการแก่ลูกค้าของสายการบินในการรับสั่งจองตั๋วการเดินทางผ่านแอพพลิเคชั่น Messenger ด้วยการสนทนาแบบธรรมดาเหมือนติดต่อกับเจ้าหน้าที่ปกติ จากการนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้นี้ช่วยให้ลูกค้าของสายการบินสามารถจองตั๋วได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของทางสายการบิน KLM อีกต่อไป

ระบบ BB มีความสามารถในการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง และมีบุคลิกส่วนตัวที่ชอบช่วยเหลือ, เป็นกันเอง มีความเป็นมืออาชีพและมีความเฉลียวฉลาดในการสนทนา และระบบ BB เองก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าตนนั้นรับหน้าที่เป็นตัวเชื่อมของลูกค้ากับเทคโนโลยีต่างๆ ที่ KLM มีอยู่พรั่งพร้อม โดยมีทีมงานถึง 250 คนคอยสนับสนุนการทำงานของ BB อยู่เบื้องหลัง เมื่อใดที่ระบบ BB ไม่สามารถให้บริการในสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างเต็มที่ ระบบ BB จะทำการส่งต่อลูกค้ารายนั้นไปยังทีมงานที่คอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังทันที และอีกไม่นานระบบ BB จะมีบริการเพิ่มมากขึ้นและรองรับการให้บริการกับช่องทางการติดต่อดิจิทัลอื่นๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะการให้บริการด้วยการสนทนากับลูกค้า

 

“KLM เป็นสายการบินที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบเป็นอย่างดีในการนำเสนอบริการที่น่าประทับใจแก่ผู้โดยสารรายบุคคล โดยเฉพาะในโลกเครือข่ายสังคมออนไลน์นั้น KLM มีบริการตลอด 24 ชั่วโมงครบทุก 7 วันด้วยเจ้าหน้าที่พร้อมให้การดูแลถึง 250 คนที่คอยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าได้มากกว่า 16,000 เรื่องในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งแน่นอนว่า เราวางแผนเพิ่มสมรรถนะยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันลูกค้าของเราก็ต้องการการตอบสนองที่เร็วขึ้น ดังนั้นเราจึงได้ทดลองนำเอาเทคโนโลยี AI มาใช้ในการสนับสนุนเจ้าหน้าที่ของเราในการดูแลลูกค้าในแบบที่เป็นส่วนตัว, รวดเร็ว และได้ข้อมูลที่ถูกต้อง ด้วยระบบ BB ทำให้ KLM ก้าวไปอีกขั้นในเรื่องของกลยุทธ์ด้านนโยบายสื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์  ทั้งยังมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้นำเสนอบริการให้กับลูกค้าแต่ละรายแบบคนต่อคน พร้อมทั้งทีมงานที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเมื่อถึงคราวจำเป็น” ปีเตอร์ โกรเนอวาล์ด รองประธานอาวุโส ฝ่ายสื่อดิจิทัล Air France KLM

 

เกี่ยวกับ KLM และสื่อเครือข่ายสังคมออนไลน์

 

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552  สายการบิน เคแอลเอ็ม รอยัลดัตช์ แอร์ไลน์ หรือ  KLM เริ่มเป็นที่รู้จักในฐานะองค์กรธุรกิจผู้นำในการให้บริการและนำเสนอแคมเปญผ่านทางเครือข่ายสังคม โดยมีผู้ติดตามในเครือข่ายสังคมแพลตฟอร์มต่างๆ ทั่วโลกมากถึง 25 ล้านราย การสื่อสารผ่านทางช่องทางเครือข่ายสังคมนี้ KLM ถูกพูดถึงมากกว่า 1 แสนครั้งในหนึ่งสัปดาห์ กว่า 15,000 คำถามหรือข้อสอบถาม โดยที่คำถามทั้งหมดได้รับการตอบแบบตัวต่อตัวด้วยเจ้าหน้าที่มากกว่า 250 คนที่ถือว่าเป็นทีมงานด้านเครือข่ายสังคมที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทั้งหมดครอบคลุมแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้ง WhatsApp, Facebook, Messenger, Twitter, LinkedIn, WeChat และ KakaoTalk ปัจจุบัน KLM เปิดให้บริการลูกค้าแบบเบ็ดเสร็จจุดเดียวไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วันใน 9 ภาษาได้แก่ ดัตซ์, อังกฤษ, เยอรมัน, สเปน, ปอร์ตุเกส, ฝรั่งเศส, จีน, ญี่ปุ่นและเกาหลี รวมถึงภาษาอิตาลีในช่วงเวลาเปิดทำการ ซึ่ง KLM ถือเป็นสายการบินพาณิชย์แรกที่เสนอตัวเลือกให้ลูกค้ารับข้อมูลเอกสารและอัพเดตสถานการณ์บินผ่านทางแอพพลิเคชั่น Messenger, Twitter และถือเป็นสายการบินชาติตะวันตกรายแรกที่ให้บริการผ่านทาง WeChat

 

วัดทักษะดิจิทัลพร้อมสู่ไทยแลนด์ 4.0 ที่บูธ ICDL งาน Digital Thailand Big Bang เมืองทองธานี 21-24 ก.ย. ฟรี!

คนไทยเก่งดิจิทัลจริงป่ะ?

อย่ามโนว่าเก่งดิจิทัล! ร่วมทดสอบวัดระดับทักษะด้านดิจิทัลของคุณ ด้วย ICDL Digital Skills Check Up Station โดย The International Computer Driving Licence (ICDL) หรือวุฒิบัตรบัตรรับรองความสามารถคอมพิวเตอร์สากล เรานำระบบออนไลน์การสอบทักษะดิจิทัลมาให้ลองเล่นกันในงานเลยทีเดียว! ตรวจสอบวัดระดับทักษะดิจิทัลของคุณ! รู้ผลทันที! ว่าพร้อมเข้าไทยแลนด์ 4.0 กันหรือยัง? ทดสอบฟรี ของรางวัลเพียบ งานนี้ใครมั่ว ใครตัวจริงได้รู้กัน !!!  ที่บูธ ICDL Digital Skills Check Up Station บริเวณ Digital Playground Challenger Hall 1 เมืองทองธานี วันที่ 21-24 กันยายน ที่งาน DIGITAL THAILAND BIG BANG 2017

ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.facebook.com/GlobalDigitalLiteracyStandard/

ซีเมนส์ จัดงาน SPACe กระชับสัมพันธ์กลุ่มลูกค้าไทย ผู้ใช้โซลูชั่นของซีเมนส์

  • SPACe คืองานสัมมนาที่จัดขึ้นทุกๆ สองปี ในหัวข้อที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี กรณีศึกษาและการนำเสนอข้อมูลจากวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิคจากหลากหลายอุตสาหกรรมในกระบวนผลิต

  • การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ SIMATIC PCS 7 Version 0 ซอฟต์แวร์ระบบควบคุมกระบวนการผลิตอัจฉริยะในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยเสริมความสามารถให้กับผู้ผลิตในประเทศในการตอบสนองการเปลี่ยนแปลงในตลาดได้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากขึ้นกว่าเดิม

 

ซีเมนส์ ผู้นำการคิดค้นนวัตกรรมด้านระบบจัดการกระแสไฟฟ้า ระบบสั่งการทำงานอัตโนมัติและดิจิทัล เป็นเจ้าภาพจัดงาน Siemens Process Automation Conference & Exhibition (SPACe) ที่กรุงเทพเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมงานกว่า 100 คน ประกอบด้วยลูกค้าผู้ใช้งาน พันธมิตรธุรกิจ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากซีเมนส์

 

SPACe คือรูปแบบของงานสัมมนาที่ได้รับความสนใจจากส่วนต่างๆ ของโลก มีผู้เข้าร่วมงานเพื่อมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อแนวโน้มและความท้าทายที่กำลังท้าทายอุตสาหกรรมการผลิต โดยจะจัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกสองปี ประกอบด้วย การนำเสนอข้อมูลและนวัตกรรมเทคโนโลยี รวมถึงการเปิดตัวและจัดแสดงผลิตภัณฑ์ เช่น การสัมมนาในหัวข้อที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมและระบบเครือข่าย ซึ่งจะเป็นโอกาสให้ผู้ที่ใช้งานระบบอยู่แล้วและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีโอกาสได้สัมผัสกับระบบที่ใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรม และประสบการณ์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมสัมผัสกับเทคโนโลยีรุ่นล่าสุดที่ซีเมนส์นำมาจัดแสดงสาธิตอีกด้วย

 

สำหรับงาน SPACe ในปีนี้ได้จัดให้ครอบคลุมถึง 5 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในระยะเวลา 3 เดือน ภายใต้แนวคิด “Driving the Digital Enterprise in Process Industries of Southeast Asia” โดยมีเป้าหมายที่การนำเสนอโซลูชั่นที่เหมาะสมให้แต่ละตลาด และประเภทอุตสาหกรรม ตั้งแต่กระบวนการและการทำงานที่มีความเฉพาะตัว ในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงและผลักดันธุรกิจให้บรรลุไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ในงานสัมมนา ได้มีการนำเสนอหัวข้อ “การปรับกระบวนผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ สู่ระบบดิจิทัล” “โซลูชั่นจากซีเมนส์สำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และเหมืองแร่” และ “ระบบสื่อสารไร้สายและรักษาความปลอดภัยเครือข่ายสำหรับอุตสาหกรรมการผลิต” จากผู้เชี่ยวชาญของซีเมนส์ด้วย

 

ดร. ฟรีดเฮล์ม ไกเกอร์ หัวหน้าแผนก Process Automation Engineering ASEAN บริษัท ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “SPACe เป็นงานที่ช่วยให้เราได้เข้าถึงและเสริมสร้างสมรรถนะความแข็งแกร่งให้แก่กลุ่มลูกค้าผู้ใช้โซลูชั่นต่างๆ ของซีเมนส์ และยังเป็นเวทีเปิดกว้างในการแบ่งปันความรู้ประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมระบบจัดกระบวนการผลิตอัตโนมัติ ในหลายปีที่ผ่านมานั้น เราได้เห็นผู้คนในอุตสาหกรรมนี้ร่วมมือกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งได้นำไปสู่การสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ และนี่จึงเป็นสาเหตุที่ซีเมนส์ได้ขยายจำนวนประเทศให้ครอบคลุมมากขึ้นในปีนี้ และหวังที่จะเห็นการรวมตัวเช่นนี้จากหลากหลายประเทศทั่วภูมิภาค และยังเป็นการรุกหาพันธมิตรธุรกิจเพื่อช่วยส่งเสริมศักยภาพให้แก่อุตสาหกรรมนี้รุดหน้าต่อไป”

 

นอกจากนั้นยังมีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาให้กับผู้ใช้งานขึ้นในแต่ละประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในภาคอุตสาหกรรม

 

ภายใต้แนวคิดของงานส่วนแสดงสินค้านั้น ซีเมนส์ ยังได้ทำการเปิดตัว SIMATIC PCS 7 Version 9.0 ซอฟต์แวร์ระบบควบคุมกระบวนการผลิตเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดในประเทศไทย ซึ่ง PCS7 เป็นซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว และยังมั่นใจได้ถึงเสถียรภาพของระบบในการดำเนินการผลิตอย่างต่อเนื่อง และ Version 9.0 ได้รับการออกแบบให้รองรับ Profinet ซึ่งเป็นมาตรฐานอุตสาหกรรมด้านระบบการเชื่อมต่อเครือข่ายสำหรับอุตสาหกรรมการผลิต ที่มาพร้อมกับพอร์ตเชื่อมต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลแยกอิสระถึง 2 ช่อง เพื่อรองรับกระบวนการทำงานแบบดิจิทัลในระดับการทำงานของระบบการผลิต และยังได้เพิ่มลักษณะการทำงานใหม่ให้ซอฟต์แวร์ ทำให้การทำงานภายในโรงงานนั้นมีประโยชน์มากขึ้น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น มีความสะดวก และยังมั่นใจได้ว่าระบบจะพร้อมรับกับอนาคต สามารถวางใจได้ว่าจะใช้งานร่วมกับระบบเดิมที่มีอยู่แล้วได้อย่างไร้ปัญหา ด้วยซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นใหม่นี้ ถือได้ว่าซีเมนส์ได้เปิดมุมมองใหม่ในเรื่องการทำงานของภาคการผลิตที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ และสร้างโอกาสใหม่ที่เหมือนเป็นแนวทางให้กับภาคอุตสาหกรรมในการเปลี่ยนไปสู่องค์กรดิจิทัลอีกด้วย

 

SPACe Innovation Tour 2017 เริ่มต้นที่ประเทศเวียดนามในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ตามด้วยสิงคโปร์และไทย และจะจัดขึ้นที่ฟิลิปปินส์และมาเลเซียตามลำดับ

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานสัมมนา SPACe สามารถเยี่ยมชมได้ที่

http://www.siemens.com.sg/SPACe/about_space.asp

 

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ SIMATIC PCS 7 v9.0 สามารถเยี่ยมชมได้ที่

http://w3.siemens.com/mcms/process-control-systems/en/distributed-control-system-simatic-pcs-7/pages/distributed-control-system-simatic-pcs-7.aspx

เปิดตัว Kaspersky IoT Scanner โซลูชั่นปกป้องไอโอทีดีไวซ์ ดาวน์โหลดฟรี เชื่อมต่อปลอดภัย

 

แคสเปอร์สกี้ แลป เปิดตัวเบต้าเวอร์ชั่นของโซลูชั่นเพื่อป้องกัน สมาร์ทโฮม” หรือบ้านอัจฉริยะ และ Internet of Things ในชื่อ “Kaspersky IoT Scanner” แอพพลิเคชั่นนี้ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ทำงานบนแอนดรอยด์แพลตฟอร์ม สามารถสแกนระบบไวไฟที่ใช้งานที่บ้าน แจ้งเตือนเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆ ที่มาเชื่อมต่อกับไวไฟ และระดับของความปลอดภัย

 

ขณะที่ Internet of Things กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาชญากรไซเบอร์ก็กำลังมองหาวิธีการช่องทางหาประโยชน์จากเทรนด์ที่เติบโตนี้ด้วยเหมือนกัน แทนที่จะทำให้ชีวิตของผู้บริโภคสมาร์ทดีไวซ์ง่ายขึ้น กลับกลายมาเป็นช่องโหว่ในด้านซีเคียวริตี้ที่น่าเป็นห่วงขึ้นทุกวัน

 

ซิลเวีย อึง ผู้จัดการทั่วไป แคสเปอร์สกี้ แลป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “เราได้พบเห็นดีไวซ์มากมายหลายประเภทที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แล้วก็กลายเป็นเหยื่อโดนแฮ็ก ช่องโหว่ที่มีความน่าจะเป็นมากที่สุดมาจากซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการต่อกับเว็บนี่เอง ทั้งๆ ที่ซอฟต์แวร์เหล่านี้ไม่ใช่ของใหม่แล้ว จุดที่เป็นช่องโหว่ได้นั้นมีตั้งแต่ baby monitors ไปจนกระทั่ง เครื่องปรับอากาศ หรือรถยนต์ น่าเศร้าว่า เมื่อมีสิ่งใดเชื่อมต่อกับเว็บได้ ก็เป็นอันว่ามีโอกาสตกเป็นเหยื่อโดนแฮ็กได้เสมอ แถมยังมี IoT search engines มาคอยเปิดโอกาสให้เป็นเหยื่อเพลี่ยงพล้ำได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก”

จากการวิเคราะห์ของ การ์ตเนอร์ พบว่ามีอุปกรณ์ IoT มากกว่าหกพันล้านเครื่องที่กำลังใช้งานอยู่ทั่วโลกในขณะนี้ และหลายเครื่องก็ได้ตกเป็นเหยื่ออาชญากรไซเบอร์ไปเรียบร้อยแล้ว ตัวอย่าง เมื่อปีที่แล้ว ทั้งโลกสั่นคลอนกับคลื่นการโจมตี DDoS attacks ที่มาจากฝีมือ Mirai botnet ที่ใช้ช้องโหว่ยอดนิยมในอุปกรณ์ IoT ในการแพร่กระจายเชื้อ และจับเหยื่อมาเป็นหุ่นเชิดของตน แคสเปอร์สกี้ แลป ได้พัฒนาโซลูชั่นเพื่อช่วยลดความเสี่ยงเช่นนี้ลง ตอนนี้ยังเป็นเบต้าเวอร์ชั่น แต่ก็ขอแนะนำให้บรรดาผู้ใช้ IoT ทั้งหลายนำมาใช้เพื่อเป็นการป้องกันอุปกรณ์อัจฉริยะในบ้านสมาร์ทโฮมของตน และแบ่งปันประสบการณ์ที่ได้รับเกี่ยวกับศักยภาพ ความสามารถ สมรรถนะในการใช้งานโซลูชั่นที่เรียกว่า Kaspersky IoT Scanner นี่ด้วย

 

Kaspersky IoT Scanner จะระบุสมาร์ทดีไวซ์ที่เชื่อมต่อกับไวไฟเร้าเตอร์โดยอัตโนมัติ รวมไปถึง ไอพีคาเมร่า (IP cameras) สมาร์ททีวี เครื่องพิมพ์ต่อผ่านไวไฟ อุปกรณ์เก็บข้อมูลบน NAS มีเดียเซิร์ฟเวอร์ และเกมคอนโซล รวมไปถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน ที่อยู่ในวงเครือข่ายในบ้านของเรา โซลูชั่นจะ “จดจำ” อุปกรณ์เหล่านี้ไว้ และแจ้งเตือนผู้ใช้งาน เมื่อใดก็ตามที่มีอุปกรณ์ใหม่หรือที่ใช้ปกติมาต่อเชื่อม หรือปลดการต่อเชื่อม ทำให้ผู้ใช้งานล่วงรู้อยู่เสมอถึงสถานะความเป็นไปว่ามีใคร อะไรมาเชื่อมต่อกับเครือข่ายบ้านของตนบ้าง

 

โซลูชั่นสแกนอุปกรณ์หาช่องโหว่ ตัวอย่าง หากพอร์ตต่อเชื่อมถูกเปิดอยู่ (ย่อมหมายถึงใครก็ตามที่อยู่บนอินเทอร์เน็ตสามารถที่จะต่อเข้ามาได้) โซลูชั่นแจ้งเตือนผู้ใช้เกี่ยวกับสถานะนั้น และแนะนำให้ทำการปิดพอร์ตในทันที นอกจากนี้ Kaspersky IoT Scanner แจ้งผู้ใช้เกี่ยวกับปัญหาใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับพาสเวิร์ดรหัสผ่านของตัวไวไฟเร้าเตอร์ Telnet หรือ SSH ด้วย ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกัน การเชื่อมต่อเข้ามาในเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะผ่านทางอุปกรณ์ IoT ที่ต่ออยู่ชิ้นใดก็ตาม ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการตั้งพาสเวิร์ดรหัสผ่านที่ไม่แข็งแกร่งนั่นเอง

อังเดรย์ โมโกล่า หัวหน้าฝ่ายธุรกิจผู้บริโภคของแคสเปอร์สกี้ แลป กล่าวว่า ปรัชญาความมุ่งมั่นของแคสเปอร์สกี้ แลป คือปกป้องโลกใบนี้ให้พ้นจากภัยไซเบอร์ และนี่มิใช่เป็นเพียงลมปากเท่านั้น เพราะเราทำงานหนักทุกวันเพื่อทำให้อินเทอร์เน็ตเป็นที่ที่มีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานของเรา คลังอาวุธของเรานั้นประกอบด้วยโซลูชั่นที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งานหลากหลายตัว รองรับการทำงานหลากหลายรูปแบบและหลากหลายแพลตฟอร์ม และ โซลูชั่น Kaspersky IoT Scanner นี้ก็เป็นอีกหนึ่งโซลูชั่นที่จะช่วยให้ประชากรเน็ตจำนวนหนึ่ง หรือเรียกว่า ผู้ใช้งานสมาร์ทดีไวซ์ทั้งหลาย สามารถใช้งานได้อย่างมีเกราะป้องกันตัว

 

สามารถดาวน์โหลด Kaspersky IoT Scanner เวอร์ชั่นเบต้าสำหรับการทดสอบได้จาก Google Play ในภาษาอังกฤษและรัสเซีย ได้ที่ https://play.google.com/store/apps/details?id=com.kaspersky.iot.scanner

จีเอฟเค ชี้ตลาดกล้องมิเรอร์เลสในไทยเติบโตขึ้น จากการตื่นตัวของกระแสแชะแชร์

ผู้บริโภคไทยกว่า 1 ใน 10 ซื้อกล้องมิเรอร์เลสในช่วงปีที่ผ่านมา และผู้บริโภคจำนวนมากอีกส่วนหนึ่งมีแนวโน้มที่จะซื้อในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้อีกด้วย

 

ความต้องการและความสนใจในการถ่ายภาพที่มีคุณภาพสูงเป็นปัจจัยที่ผลักดันยอดขายกล้องมิเรอร์เลสในประเทศไทย โดยผลสำรวจจาก GfK Point of Sales ข้อมูลจากจุดขายของจีเอฟเคพบว่ากลุ่มคนรักการถ่ายภาพในประเทศไทยมียอดการใช้จ่ายกว่า 8.9 พันล้านบาทในการซื้อกล้องมิเรอร์เลสเป็นจำนวนทั้งสิ้น 341,000 เครื่องในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าตลาดกล้องประเภทนี้มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อีกในปีหน้า

 

ตลาดกล้องมิเรอร์เลสในประเทศไทย เป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีศักยภาพการเติบโตในตัวเลขสองหลัก ปีต่อปี ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

 

จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคโดยจีเอฟเคพบว่า ในช่วงปีที่ผ่านมา ร้อยละ 10 ของพลเมืองออนไลน์ในประเทศไทยได้ซื้อกล้องมิเรอร์เลส และแนวโน้มที่จะซื้อภายใน 1 ปีจากนี้มีอัตราเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 14 แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มเชิงบวกของการเติบโตของตลาดกล้องมิเรอร์เลสในไทย

 

“กล้องมิเรอร์เลสกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ของกลุ่มคนรักการถ่ายภาพที่ต้องการภาพถ่ายที่มีคุณภาพสูง ด้วยกล้องที่น้ำหนักเบา พกพาสะดวก ใช้งานง่าย และยังมีราคาซื้อหาเป็นเจ้าของได้ง่ายกว่ากล้อง DSLR ระดับสูง” เจอราร์ด แทน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายการตลาดเทคโนโลยี จีเอฟเค เอเชีย กล่าว “เป็นที่น่าสนใจว่า กล้องมิเรอร์เลสในประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจอย่างสูงในฐานะของสินค้าฟุ่มเฟือยที่ใช้ในการยกระดับหรือแสดงฐานะทางสังคม”

 

ผลสำรวจยังระบุอีกว่า จำนวน 2 ใน 3 ของผู้ที่ใช้กล้องมิเรอร์เลสมีช่วงอายุอยู่ที่ 18-35 ปี และ 3 ใน 5 ของผู้บริโภคที่ตั้งเป้าจะซื้อกล้องมิเรอร์เลสก็อยู่ในช่วงอายุนี้ด้วยเช่นกัน

 

“นอกจากนี้ รายงาน GfK’s Connected Asian Consumer ยังระบุถึงผลการสำรวจในปีที่ผ่านมาด้วยว่า ประเทศไทยมียอดผู้ใช้งานโซเชียลแอพพลิเคชั่นสูงเป็นอันดับ 2 ของทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยคิดเป็นร้อยละ82 และแนวโน้มโซเชียลในปัจจุบันของวัยรุ่นไทยคือ ใช้กล้องมิเรอร์เลสถ่ายภาพแล้วแชร์ต่อบนโซเชียลมีเดียทันที” เจอราร์ด แทนกล่าว

 

ทั้งนี้ รายงานผลสำรวจของจีเอฟเคยังพบว่ากลุ่มผุ้บริโภคที่ใช้กล้องมิเรอร์เลสจากผู้ผลิตแบรนด์ดัง เช่น โซนี่ แคนนอน ฟูจิฟิล์ม โอลิมปัส จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับช่องทางการซื้อ รูปแบบการใช้งาน และความชื่นชอบต่ออุปกรณ์ที่ตนใช้งาน เกือบ 2 ใน 5 หรือร้อยละ 19 พิจารณาผลการรีวิวของผู้บริโภคบนอินเทอร์เน็ตว่าเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญหลักในการหาข้อมูลกล้องมิเรอร์เลส อย่างไรก็ดี ประมาณร้อยละ 23 ระบุว่าการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในการเลือกแบรนด์หรือรุ่นจะมาจากการเข้าไปเลือกดูของจริงที่ร้านโดยส่วนใหญ่

 

“ผลการวิจัยยังแสดงข้อมูลให้เห็นถึงความแตกต่างที่เด่นชัดของทัศนคติรวมทั้งพฤติกรรมระหว่างผู้ที่กำลังใช้สินค้าและที่ตั้งใจว่าจะซื้ออีกด้วย” เจอราร์ดตั้งข้อสังเกต “ข้อมูลเชิงลึกเช่นนี้มีความสำคัญต่อแบรนด์สินค้า ด้วยข้อมูลที่มีค่าแสดงถึงพฤติกรรมขั้นตอนการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค และช่วยให้กลยุทธ์การสื่อสารหลากหลายช่องทางสัมฤทธ์ผลสูงสุด ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าของตน”

 

เกี่ยวกับรายงานฉบับนี้

รายงานผลสำรวจพฤติกรรมการซื้อกล้องมิเรอร์เลส (Mirrorless Camera Path to Purchase Survey) จัดทำขึ้นในประเทศไทยในเดือน มิถุนายนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 การทำแบบสอบถามออนไลน์มีกลุ่มเป้าหมายผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 540 คน โดยมีช่วงอายุอยุ่ที่ 18-55 ปี ที่ซื้อกล้องมิเรอร์เลสของ แคนนอน โซนี่ ฟูจิฟิล์ม และโอลิมปัส ในระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับผู้ที่มีความต้องการจะซื้อกล้องมิเรอร์เลสภายในเวลา 1 ปีข้างหน้า


 

เกี่ยวกับ จีเอฟเค (GfK)

จีเอฟเค เป็นบริษัทข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจการตลาดและผู้บริโภคที่ได้รับความไว้วางใจ และช่วยให้ลูกค้าของบริษัทดำเนินการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จีเอฟเคมี ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยธุรกิจการตลาดมากกว่า 13,000 คน ที่พร้อมผนึกกำลัง ความสามารถผนวกกับประสบการณ์อันยาวนานและองค์ความรู้ด้านข้อมูลของบริษัท เพื่อผลิตข้อมูลเชิงลึกที่มีความสำคัญในระดับโลกพร้อมข้อมูลทางการตลาดจากมากกว่า 100 ประเทศ จีเอฟเคเปลี่ยนข้อมูลจำนวนมากเป็นข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ง่ายต่อการใช้งาน  โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และองค์ความรู้ด้านข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถพัฒนา ข้อได้เปรียบในการแข่งขันและสร้างเสริมประสบการณ์และตัวเลือกของผู้บริโภคได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.gfk.com หรือติดตามทางทวิตเตอร์: https://twitter.com/GfK

เอ็นซีอาร์เปิดตัวสุดยอดเทคโนโลยี ช่วยธุรกิจธนาคาร-สถาบันการเงินไทย ก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจ 4.0

ด้วยโซลูชั่นที่ครอบคลุมทุกช่องทางและแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของ NCR ช่วยให้ธนาคารสถาบันการเงินสามารถสร้างความยืดหยุ่นจากการนำเอาเทคโนโลยียุคใหม่มาใช้ พร้อมลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน

 

กรุงเทพฯ – 22 สิงหาคม พ.ศ. 2560 NCR Corporation (NYSE: NCR) ผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการบริการทางการเงินแบบหลากหลายช่องทาง (omni-channel solutions) เปิดตัวโซลูชั่นสวีทแบบครบวงจร CxBanking สำหรับให้การสนับสนุนธุรกิจธนาคารและสถาบันการเงิน (FIs) ในไทยในการปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิทัลและสู่รูปแบบการบริการทางเงินผ่านการบริการแบบหลากหลายช่องทาง  การใช้งานโซลูชั่น CxBanking ของเอ็นซีอาร์จะช่วยให้สถาบันการเงินสามารถนำเสนอช่องทางในการทพธุรกรรมทางการเงินให้แก่ลูกค้าผ่านอุปกรณ์หลากหลายประเภท ได้อย่างลื่นไหล เพิ่มความรวดเร็วให้กับการให้บริการ และลดช่วงเวลาการหยุดทำงานของระบบ แถมด้วยประสิทธิภาพการทำงานในสำนักงานสาขา และวางแผนการใช้ทรัพยากรบุคคลได้ดียิ่งขึ้น

ในงานการเปิดตัวโซลูชั่น มีการสาธิตข้อมูลรายละเอียดและการทำงานของพอร์ตโฟลิโอ CxBanking จากเอ็นซีอาร์ที่ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานจากกว่า 70 สถาบันการเงินชั้นนำทั้งในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลูกค้าของเอ็นซีอาร์ในงานได้สัมผัสโซลูชั่นการเงินแบบหลากหลายช่องทางในเวอร์ชั่นล่าสุด ซึ่งได้ออกแบบบนหลักการที่เน้นการสร้างประสบการณ์ชั้นเลิศให้แก่ผู้ใช้บริการ  โดยโซลูชั่นสวีทนี้ประกอบด้วยโซลูชั่นการเงินในรูปแบบดิจิทัล และตู้การใช้บริการด้วยตัวเองที่ทันสมัย สามารถสร้างความได้เปรียบสำหรับอนาคตซึ่งจะเป็นยุคของการเชื่อมต่อถึงกันทั้งหมด

“เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้ดีนั้น สถาบันการเงินต่างมองหาทางเลือกในการให้บริการ และไปสู่ช่องทางการบริการในแบบดิจิทัล  ซึ่งเป็นแนวทางที่นำไปสู่รูปแบบการให้บริการทางการเงิน ‘แบบดิจิทัลเท่านั้น’” จอร์จ แมคริยานนิส หัวหน้าฝ่ายขายโซลูชั่น ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค เอ็นซีอาร์ กล่าว “โซลูชั่น CxBanking ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางที่มีความหลากหลาย รวมถึงรูปแบบการทำงานของสาขาที่จะมีความแตกต่างออกไป โดยที่เอ็นเตอร์ไพร้ซ์แอพพลิเคชั่นแพลตฟอร์มของเราจะให้ความมั่นใจได้ว่าธุรกรรมทางการเงินของธนาคารนั้นจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่นบนโครงสร้างระบบที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน”

 

เอ็นซีอาร์ได้แสดงการสาธิตเทคโนโลยีเพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานของสาขา Branch Transformation  รวมถึง NCR Interactive Teller นวัตกรรมเทคโนโลยีที่ลูกค้าสามารถสื่อสารกับเจ้าหน้าที่ธนาคารจากทางไกลได้ผ่านระบบวิดีโอและเสียงที่มีคุณภาพสูง นอกเวลาทำการ  ด้วยการย้ายธุรกรรมที่เกิดอยู่เป็นประจำไปสู่ช่องทางการใช้บริการด้วยตนเอง  ในส่วนของเครื่อง Interactive Teller ของเอ็นซีอาร์นั้นก็จะเป็นส่วนที่ช่วยให้เจ้าหน้าที่ธนาคารสามารถให้เวลาในการบริการลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น  อำนวยความสะดวกแก่ธุรกรรมที่มีมูลค่าทางการเงินสูงกว่า และสร้างความประทับใจในการให้บริการกับลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น

“พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว อันเนื่องมาจากเทคโนโลยี และเอ็นซีอาร์คือผู้นำในการเปลี่ยนแปลงนั้น”  จอย แยพ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฝ่ายการบริการทางการเงิน เอ็นซีอาร์ กล่าว “เทคโนโลยีล้ำยุคสำหรับบริการทางการเงินทั้งออนไลน์และบนอุปกรณ์ไร้สายที่เปิดตัวในวันนี้ ผสานสภาพแวดล้อมของการมีปฏิสัมพันธ์ตัวต่อตัวแบบดั้งเดิมเข้ากับการสร้างบริการทางการเงินที่พร้อมเสมอในทุกช่องทาง  สร้างความยืดหยุ่นคล่องตัวในการให้บริการแก่ผู้บริโภค  และยังสามารถที่จะควบคุมธุรกรรมตามความต้องการของลูกค้า ตามรูปแบบแพลตฟอร์มการใช้งานที่เลือกใช้ได้เปนอย่างดี”

 

เอ็นซีอาร์ยังได้เปิดตัวโซลูชั่นประมวลผลธุรกรรมอัจฉริยะ ที่ทำงานได้รวดเร็วและปลอดภัยที่สุดในชื่อ Authentic ซึ่งถือว่าเป็นแพลตฟอร์มระบบชำระเงินเจ้าแรกที่รองรับมาตรฐาน PA-DSS 3.1 และออกแบบมาเพื่อรองรับธุรกิจรับขำระเงินที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว  นี่คือระบบรับชำระเงินบนเทคโนโลยีล้ำหน้าสำหรับธุรกิจธนาคารรายย่อย, บริษัทบัตรเครดิต, บริษัทจัดซื้อ, บริษัทผู้ให้บริการรับชำระเงิน รวมถึงบริษัทห้างร้านที่ต้องผ่านมาตรฐาน ISO ที่มีอยู่ทั่วโลก

การสาธิตการทำงานที่นำมาแสดงในงานเปิดตัวประกอบไปด้วย

  • NCR APTRA Connections – โซลูชั่นที่เปลี่ยนรูปแบบช่องทางสื่อสารกับลูกค้าที่ครบวงจรการสื่อสาร ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และสร้างบริการที่สามารถเพิ่มมูลค่า ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกติดต่อผ่านช่องทางใดก็ตาม
  • NCR Connected Payments เทคโนโลยีที่มาในรูปแบบของโซลูชั่นแบบ software-as-a-service (SaaS) ที่ให้ทั้งความปลอดภัยและแม่นยำพร้อมทั้งปกป้องในการส่งผ่านให้กับข้อมูลในการทำธุรกรรม ตั้งแต่การใส่รหัสไปจนถึงขั้นตอนการประมวลผลการชำระเงิน
  • SelfServ ATMs ตู้เอทีเอ็มสำหรับการใช้บริการด้วยตัวเอง ทั้งการฝากเงินและการให้บริการต่างๆ
  • บริการการถอนเงินผ่านทางอุปกรณ์มือถือ
  • จุดให้บริการทางการเงินสำหรับการเปิดบัญชีหรือบัตรเครดิต
  • NCR Fractals โซลูชั่นการตรวจจับและป้องกันการฉ้อโกง
  • NCR Payment Platform แพลตฟอร์มระบบรับชำระเงิน ที่เป็นสะพานสำหรับช่วยให้กระบวนทำงานแบบดั้งเดิมนั้นสามารถผสานเข้ากับช่องทางการชำระเงินทั้งแบบดิจิทัลและในแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

 

เกี่ยวกับเอ็นซีอาร์คอร์ปอเรชั่น (NCR Corporation)

เอ็นซีอาร์ คอร์ปอเรชั่น ( NYSE: NCR ) เป็นผู้นำด้านโซลูชั่นการบริการทางการเงินแบบหลากหลายช่องทาง ที่เปลี่ยนรูปโฉมของการติดต่อสื่อสารเชิงธุรกิจในทุกๆ วัน ให้เป็นประสบการณ์ชั้นยอดอันน่าประทับใจ ด้วยซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และพอร์ตโฟลิโอของการให้บริการด้านต่างๆ เอ็นซีอาร์ให้การรองรับการดำเนินธุรกรรมทางการเงินถึงกว่า 700 ล้านธุรกรรมต่อวัน ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การค้ารายย่อย การเงิน การเดินทาง การบริการต้อนรับ โทรคมนาคมและเทคโนโลยี รวมไปถึงวิสาหกิจขนาดย่อม โซลูชั่นของเอ็นซีอาร์ขับเคลื่อนธุรกรรมในแต่ละวัน เพื่อชีวิตที่ง่ายขึ้น

เอ็นซีอาร์มีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ เมืองดูลูธ รัฐจอร์เจีย ด้วยพนักงานกว่า 30,000 คน ดำเนินธุรกิจใน 180 ประเทศ
NCR เป็นเครื่องหมายการค้าของ เอ็นซีอาร์คอร์ปอเรชั่น ( NCR Corporation ) ในประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศอื่นๆ  เอ็นซีอาร์ขอเชิญชวนให้นักลงทุนได้เข้าเยี่ยมเว็บไซต์ของเราเพื่อติดตามข้อมูลที่ได้รับการอัพเดทอยู่เป็นประจำ เพื่อรับรู้ข่าวสารด้านการเงินหรือข้อมูลสำคัญของบริษัทเอ็นซีอาร์

Web site: www.ncr.com

Twitter: @NCRCorporation

Facebook: www.facebook.com/ncrcorp

LinkedIn: www.linkedin.com/company/ncr-corporation

YouTube: www.youtube.com/user/ncrcorporation