ทริปนี้เป็นทริปจัดสัมมนาของแผนก เราเลือกพักที่แจ่มจันทร์ รีสอร์ท 2 วัน 1 คืน โดยเลือกแพคเก็จที่รีสอร์ทจัดไว้ให้แล้ว คือ แพคเก็จ 2 วัน 1 คืน พร้อมอาหาร 2 มื้อ 1,600 บาท/ท่าน ในแพคเก็จประกอบไปด้วยกิจกรรม ดังนี้
– เล่นน้ำหน้าแจ่มจันทร์รีสอร์ท
– ล่องแก่งเรือยาง แม่น้ำเพชร
– นั่งเรือยนต์รอบเขือน ชมพระอาทิตย์ตก
– รับประทานอาหารเย็น
– ขึ้นเขาพระเนินทุ่ง ชมทะเลหมอก ชมผีเสื้อ
– รับประทานอาหารเช้าบนยอดเขา
ออกเดินทางจากออฟฟิศแถวพระราม 4 ตอนเวลาประมาณ 9:30 น. ถึงที่พักประมาณ 12:00 น.
แจ่มจันทร์ รีสอร์ท ที่พักสไตล์โมเดิร์นตกแต่งด้วยปูนดิบเก๋ๆ ใช้เฟอร์นิเจอร์สีเข้มตัดกับสีของปูนดิบทำให้ดูสดุดตามากค่ะ เนื่องจากเรามากันเป็นหมู่คณะ เลยเช่าแบบทั้งหลังค่ะ ในรูปถ่ายมาจาก 2 ห้อง บางห้องจะเป็นเตียง 2 ชั้น
รีสอร์ทติดกับแม่น้ำ ทำให้เห็นวิวสวยมาก มีมินิมาร์ทของรีสอร์ทด้วย ในโซนนี้จะให้เราได้นั่งทานอาหารหรือสังสรรค์ไปพร้อมกับการชมบรรยากาศแม่น้ำและภูเขาไปด้วย เราใช้พื้นที่ส่วนนี้ด้านบนในการสัมมนากันค่ะ เราใช้เวลาในการสัมมนาประมาณ 3 ชั่วโมง
สามารถลงเล่นน้ำที่หน้ารีสอร์ทได้ และทางรีสอร์ทยังมีสไลเดอร์ให้ได้เล่นกันฟรีๆด้วยค่ะ
พอถึงเวลา 16:00น. ก็เปลียนชุดเพื่อไปทำกิจกรรมล่องเรือยางแม่น้ำเพชรบุรี ด้วยระยะทาง 8 กิโลเมตร มากันหลายคน แข่งกันมันส์เลยค่ะ ประมาณ 1 ชั่วโมง
หลังจากล่องเรือยางแล้ว ก็นั่งรถกลับมาที่รีสอร์ท ประมาณ 17:00 น. ก็จะมีรถมารอรับเพื่อเดินทางไปนั่งเรือยนต์ชมบรรยาการรออบเขื่อนและชมพระอาทิตย์ตก
“อากาศดีมากและวิวก็ดีมากด้วย ลมพัดเย็นสบาย เหมือนได้มาฟอกอากาศบริสุทธิ์ให้กับปอด หลังจากที่อยู่แต่ในเมือง เหมาะสำหรับท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจเป็นอย่างมาก บรรยากาศ ณ เวลานี้ คือโรแมนติกมากๆ”
พอมาถึงจะเห็นเรือยนต์ที่จอดเทียบท่ามากมายหลายลำ บนเรือจะมีเสื้อชูชีพให้ใส่ด้วย ซึ่งทุกคนจะต้องใส่ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
“ภาพน้ำสีเขียวเข้มถูกแสงจากพระอาทิตย์ตกกระทบ ตัดกับภูเขาที่สลับกัน ไล่สีสัน ตามระยะสายตา เหมือนกับภาพวาดสีน้ำ ที่ดูแล้วสบายตามากๆ”
โชคดีมากที่วันนั้นได้เจอรุ้งกินน้ำ ในระหว่างที่นั่งเรือชมวิวรอบๆเขื่อน ในใจรู้สึกว่ามันน่ารักมาก
ทำให้คิดถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก เห็นรุ้งกินน้ำแล้ววิ่งตาม อยากจับรุ้งให้ได้ อยากรู้ว่ารุ้งกินน้ำที่ไหน กินยังไง ใช้อะไรกิน คำถามที่เกิดขึ้นมากมายสำหรับเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง ณ ตอนนี้รู้สึกขอบคุณทุกคนที่ได้ให้ความรู้แก่เรา ดีใจที่ได้เรียนหนังสือ ได้รู้ว่าจริงๆแล้วรุ้งที่เราเห็นคืออะไร
“ยังมีอีกหลายสิ่งบนโลกใบนี้ ที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เห็น และยังรอให้เราออกไปค้นหาคำตอบ “
ฟินกับวิวสวยๆ อากาศดีๆ ไปตามๆกันค่ะ
อ้อ มีสิ่งหนึ่งที่ต้องระวังค่ะ คนที่นั่งด้านข้างนี่ เปียกนะคะ น้ำกระเด็นใส่ค่ะ ตอนที่เรือแล่น แต่คนขับเขาก็จะมีจังหวะช่วงเร็วช้าให้ค่ะ ถ้าขับเร็วก็กระเด็นใส่กันถ้วนหน้า
ถ้าเอากล้องไปก็คงต้องระวังค่ะ จริงๆเห็นกับตาสวยกว่าเยอะค่ะ
“ธรรมชาติเขาไม่อยากให้เราเก็บภาพใส่กล้อง เพราะเมื่อไหร่ที่วิวสวยๆเราจะเจออุปสรรคมากมายกว่าจะเก็บภาพได้ เขาคงอยากให้เรามาเห็นเขากับตา ว่ามั้ยคะ เก็บไว้ในใจในความทรงจำดีกว่าค่ะ”
แสงสีทองจากท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกดินนี่สวยเกินบรรยายจริงๆนะคะ
หลังจากฟินกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เราก็กลับมาอาบน้ำ ทานอาหารเย็น พร้อมปาร์ตี้ตอนเย็นค่ะ ไม่มีภาพเลยค่ะ ขอบรรยายด้วยคำพูดแทนค่ะ ที่นี่มีคาราโอเกะให้ได้ร้องกันถึง 23:00 น. ค่ะ
ส่วนใครอยากต่อก็ไปต่อกันที่ห้อง ส่วนใครใคร่นอนก็ไปหลับฝันดีกันค่ะ จบแล้วกับ 1 วันเต็มๆ
ในตอนเช้าของวันที่ 2 เราตื่นกันตั้งแต่ 04:30 น. เพื่อที่จะออกไปชมผีเสื้อ และทะเลหมอกที่เขาพะเนินทุ่ง ซึ่งจะต้องออกเดินทางตอนตี 5 ด้วยระยะทาง 50 กิโลเมตร ถ้าหากว่าช้ากว่านี้เราจะไม่ได้เห็นทะเลหมอก ที่นี่ขึ้นชื่อว่านักท่องเที่ยวสามารถชมทะเลหมอกได้ตลอดทุกฤดู ไม่จำเป็นจะต้องเป็นฤดูหนาว
พอถึงเวลา 05:00 รถก็มารับตามนัดหมายที่หน้ารีสอร์ท เป็นรถกระบะ มีที่นั่ง 2 ข้างเหมือนรถสองแถว มีหลังคา โดยจำกัดจำนวนคนต่อคันไม่เกิน 10 คน
ถนนจากรีสอร์ทไปถึงอุทยานเป็นทางเรียบสวย ชมบรรยากาศถนนสวย ที่มีอุโมงต้นไม้ตลอดทาง
เราออกเดินทางจากได้ซักพัก ฝนก็เริ่มตก พี่คนขับรถก็มากเรียกให้ไปขึ้นที่ cap ด้านหน้า ซึ่งแคบและนั่งได้ 4 คน ส่วนที่เหลือก็นั่งด้านนอก
พอไปถึงด่านของอุทยานก็จะมีที่พักรถ และเจ้าหน้าอุทยานมาตรวจคน และก็เดินทางต่อไป ฝนไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตก ยังคงตกเรื่อยๆ ซึ่งรถไม่มีกันสาด ทำให้คนที่นั่งด้านหลังเปียกกันหมด เราไม่สามารถย้อนกลับไปได้เนื่องจากทางขึ้นเขาแคบมากต้องวิ่งทางเดียว ค่อนข้างอันตราย ไม่ได้เรียบเหมือนต้นทางที่ผ่านมา ทางเป็นหลุมบ่อ และชัน พร้อมด้วยโค้งที่เยอะพอสมควร ซึ่งคนที่จะขับได้ต้องมีความชำนาญพอสมควร
ขึ้นเขาไปได้ซักพัก โชเฟอร์ก็ต้องหยุดรถ เพราะมีช้างป่าเดินข้ามถนน โชเฟอร์ต้องดับไฟและเครื่องยนต์เพื่อไม่ให้ช้างตื่นตัว เพราะค่อนข้างอันตราย แต่เราตื่นเต้นมากเลยนะ ช้างตัวใหญ่มาก
ระหว่างทางเราต้องข้ามลำธารเล็กๆ ประมาณ 3 ลำธาร ถ้าฝนไม่ตกเราว่าจะต้องเป็นอะไรที่ดีมากๆ เราไม่สามารถเก็บรูปมาให้ได้แต่เราจำทุกเหตุการณ์ได้
ในที่สุดเราก็มาถึงจุดชมผีเสื้อ ใช้เลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ฝนก็ยังไม่หยุดตก และไม่สามารถลงจากเขาไปได้ เพราะจะมีเวลาขึ้น-ลง และยังคงมีรถตามขึ้นมาเรื่อยๆ มีหลายคณะที่มาเจอชะตากรรมเดียวกับพวกเรา ผิดหวังไปตามๆกัน
ที่นำเรื่องนี้มาเล่าเพราะอยากให้เป็นตัวอย่างกับหลายๆคน เราอาจจะต้องดูเรื่องของฝนฟ้าอากาศนิดนึงนะคะ ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะไปอีกครั้ง ไปชมผีเสื้อให้ได้ และวิวข้างทางค่อนข้างสวย แต่เราไม่สามารถถ่ายรูปมาได้เลย ): แต่เราก็ไม่เสียใจนะ เพราะมันคือ
สีสันของการเดินทาง
ภาพสุดท้ายก่อนออกเดินทางจากรีสอร์ทกลับกรุงเทพฯ
ปล.หลายคนสงสัยว่ามาสัมมนาแต่ไม่มีรูปสัมมนาเลย เรามาสัมมนาจริงนะ แต่ไม่ได้ลงรูปนะคะ
วัน เวลา
ต้นเดือน กรกฎาคม 2558
การเดินทางไปแจ่มจันทร์รีสอร์ท