ทริปนี้จัดเมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาค่ะ แน่นอนว่าช่วงนี้มันฤดูฝน ใครจะอยากเที่ยว ช่วงนี้ก็เลยเป็นช่วง low season สำหรับการท่องเที่ยว ด้วยความที่อยากเที่ยว เงินในกระเป๋าก็น้อยนิด เราก็ถือโอกาสนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเครื่องบินราคาเท่าตั๋วรถทัวร์ ที่พัก ลดครึ่งราคา ลดกระหน่ำกันจริงจัง รอช้าอยู่ใยแพคกระเป๋าโลด
ออกเดินทางในวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม ค่ะ โดยสายการบินราคาประหยัด Airasia เราจองไป-กลับ ได้ในราคาประมาณ 1,800 บาท จองผ่านเว็บไซต์ https://www.traveloka.com/th-th/airasia ไม่มีค่าธรรมเนียม ไม่ต้องรูดบัตรเครดิต เพราะใช้วิธีโอนเงินเอาผ่านตู้ ATM ได้ตั๋วราคาถูกไม่ชาร์ทเพิ่ม
พร้อมกันนั้น หลังจองตั๋วเสร็จ ก็มีหน้าจอโรงแรมเด้งขึ้นมาแนะนำ ราคาแบบล่อตามากคืนละ 400 บาท ซึ่งลดจากราคา 1,200 บาท แต่ยังไม่จอง ขอเอาชื่อโรงแรมไปหาข้อมูลก่อนว่าเป็นยังไง หลังหาข้อมูลแล้ว ทั้งการเดินทาง สภาพโรงแรม และอื่นๆที่เราพอใจ เราก็ตกลงจองโรงแรม โรยัล เพนนินซูลา
ออกจากดอนเมือง 6.40 น. ถึงสนามบินเชียงใหม่ 7.45 น. นั่งรอเพื่อนมารับ หากใครไม่มีเพื่อนหรือคนรู้จักที่จะพาเราเที่ยวได้ ก็ไม่ต้องกังวลค่ะ มีรถแดงโดยสารเข้ามาถึงสนามบินเลยค่ะ เท่าที่นั่งสังเกตมีทุกๆ 5 นาที สามารถนั่งโดยสารประจำทางหรือเหมาเที่ยวก็ได้ค่ะ รถแดงพาเราไปได้ทุกที่ ราคาก็ตามที่ตกลงกับโชเฟอร์
เรายังไม่เข้าโรงแรม เพราะโรงแรมให้เช็คอินเวลา 14:00 น.เป็นต้นไป จึงแพลนไปเที่ยวกันก่อน แต่ท้องก็ร้องหาอาหารแต่เช้า เพื่อนผู้น่ารัก จึงจัดให้ พาเราไปหามื้อเช้ากินกัน
อาหารมื้อแรกที่เชียงใหม่ที่ร้าน “BOAT BAKERY CHIANGMAI” ร้านเก่าแก่คู่เมืองเชียงใหม่ ตั้งอยู่บนถนนห้วยแก้ว ทางมุ่งหน้าไปดอยสุเทพ ร้านอยู่ซ้ายมือ ก่อนถึงมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บรรยากาศตกแต่งด้วยโทนสีขาว เรียบง่ายมีสองโซน ด้านหน้าติดถนน ด้านหลังประดับตกแต่งด้วยไม้ประดับ ให้ความรู้สึกสดชื่น
ที่นี่มีหลากหลายเมนู ทั้งของคาวของหวาน อาหารไทย หรือเทศ เรียกได้ว่าครบครบครัน ส่วนเซ็ทที่เป็นที่นิยมกันที่สุดสำหรับมื้อเช้าก็คือเซ็ทอาหารเช้า มีอาหารให้เลือก อาทิไส้กรอก แฮม ไข่ดาว ขนมปังปิ้ง เลือกผสมได้ตามใจชอบ เสิร์ฟมาพร้อมกับกาแฟ และนม
อาหารมีให้เลือกหลากหลายตั้งแต่ก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้ม สเต็ก อาหารตามสั่ง ฯลฯ
อิ่มหนำสำราญกับอาหารมื้อเช้ากันเรียบร้อย มื้อนี้จ่ายไปประมาณ 350 บาท มีเซ็ทอาหารเช้า 3 ที่ ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่ม ไก่ทอด เฟรนฟราย อิ่มมาก
อิ่มแล้วก็ออกเดินทางต่อเลย มุ่งหน้าไปยังม่อนแจ่มตามที่ได้หาข้อมูลกันมาก่อน ในระหว่างทางเพื่อนผู้น่ารักใจดี ทำหน้าที่ไกด์ที่ดี พาเราแวะสถานที่ที่เราไม่รู้จักมาก่อน แต่ยังไงก็เป็นทางผ่านก่อนขึ้นม่อนแจ่มอยู่แล้ว (ได้กำไรมา 1 สถานที่)
พระตำหนักดาราภิรมย์ เป็นที่ประทับของพระราชชายาเจ้าดารารัศมี เจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่นี่ถูกตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆระหว่างบรรพชนในอดีต กับอนุชนรุ่นหลัง มีการจัดห้องพักผ่อนพระอิริยาบถ จัดแสดงจานชาม เครื่องเสวย ของใช้ส่วนพระองค์ และเครื่องดนตรี ให้เหมือนเดิมมากที่สุด
มีคนเข้ามากราบไหว้ ขอพรกันประปราย ส่วนใหญ่ถวายดอกกุหลาบ ขอกระซิบว่าเพื่อนผู้น่ารัก ก็อธิษฐานและก็ได้สมหวังตามที่อธิษฐานด้วย (ความเชื่อส่วนบุคคล)
แวะสักการะและถ่ายรูปเสร็จก็ออกจาก พระตำหนักดาราภิรมย์ เพื่อนผู้น่ารักก็พาแวะอีกสถานที่ ทางผ่านอีกแล้ว “ศาลากาแฟ” (กำไรอีกแล้ว) ร้านกาแฟที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติมากๆ นอกจากจะมีกาแฟและเครื่องดื่ม ของหวานแล้ว อาหารคาวก็มีให้เลือกหลากหลาย
สำหรับรีวิวร้าน ศาลากาแฟ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ “ศาลากาแฟ” ชิวกับธรรมชาติ
เราชิลถ่ายรูปกันที่ร้านศาลากาแฟ กันสักพัก ประมาณบ่ายโมงก็ไปกันต่อ คราวนี้ไม่ได้แวะแล้ว ตรงดิ่งไปที่ม่อนแจ่ม ไปถึงม่อนแจ่มก็บ่ายแก่ๆ แต่เราตื่นเต้นมาก เพราะหมอกที่หนาตาเอามากๆ คิดว่าเป็นหน้าหนาว แต่อากาศไม่หนาว เย็นสบาย สำหรับที่ม่อนแจ่มจะต้องจ่ายค่าจอดรถประมาณ 20 หรือ 40 บาท จำไม่ได้ค่ะ แล้วก็เดินขึ้นไปอีกนิดหน่อย
ก่อนที่เราจะมาม่อนแจ่มก็ศึกษาข้อมูลมาก่อน เห็นหลายรีวิวบอกม่อนแจ่มไม่มีอะไร แต่เราไม่เชื่อค่ะ ต้องมาเห็นกับตา
ท้องฟ้าดูครึ้มๆ ฝนใกล้มาแล้ว ก็หน้าฝนเราจะไปห้ามไม่ให้ฝนตกคงไม่ได้ เราลุยกันต่อค่ะ
มีของขายจากชาวบ้านริมทาง
ที่นี่มีดอกไม้และรอยยิ้ม น้องๆเขาน่ารักมากเลยนะคะ ถ้าคนที่มีเที่ยวแล้วกลับไปพูดว่าที่นี่ไม่มีอะไรน่าเที่ยว เด็กและชาวบ้านที่นี่เขาก็น่าจะได้รับผลกระทบนะคะ ยังไงก็อยากให้มาเห็นกันเองกับตา ก่อนตัดสินใจอะไร
สำหรับรีวิวม่อนแจ่มทั้งหมดสามารถดูได้ที่นี่ค่ะ หน้าฝนน่าเที่ยว “ม่อนแจ่มม่วนใจ๋“
กลับจากม่อนแจ่มประมาณห้าโมงเย็น เอากระเป๋าไปเก็บ เช็คอินที่โรงแรม โรยัล เพนนินซูลา และนั่งพักสักพัก
วันนี้ยังพอมีเวลา เพื่อนไกด์ผู้น่ารัก ก็พาไปไหว้พระที่วัดเก่าแก่ประจำเมืองเชียงใหม่ พระพุทธสิหิงค์ พระธาตุประจำปีมะโรง ณ วัดพระสิงห์ ภายในมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องสุพรรณหงส์และสังข์ทอง ซึ่งพบเพียงที่นี่แห่งเดียว
ไหว้พระเสร็จก็ถึงเวลามื้อเย็นของวันแล้ว กินอีกแล้นน เพื่อนไกด์ที่น่ารักก็ถามเราว่าอยากกินอะไร เราก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าอาหารเมือง นางเลยจัด พาเราไปร้าน “เฮือนม่วนใจ๋” ร้านชื่อดัง เก่าแก่กว่า 100 ปี โดยเชฟก็เป็นถึงผู้ท้าชิงเชฟกระทะเหล็ก ประเทศไทยด้วย
มาถึงร้านกล้องถ่ายรูปแบตหมด โทรศัทพ์แบตก็หมด เลยเก็บภาพบรรยากาศมาได้นิดหน่อย
ตัวร้านเป็นเรือนไม้ ทางเข้าประดับไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับ บรรยากาศในร้านดูอบอุ่น ตกแต่งด้วยโคมแบบชาวเชียงใหม่ การประดับตกแต่งผนังด้วยรูป เหมือนบ้านเรือนสมัยก่อน
ถึงเวลาสั่งอาหาร มีกันสามคนแต่ด้วยความหิวและเมนูที่เพื่อนไกด์แนะนำ ก็สั่งกันมาเยอะมาก 😉
นี่ไม่ได้อวยนะ จะบอกว่าอาหารอร่อยมาก อร่อยทุกอย่าง อาทิ
ชุดออเดิฟเมือง ก็จัดเต็มทั้งน้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกอ่อง, แคปหมู, ไส้อั่ว, หมูทอด, แกงฮังเล(อร่อยมาก) พร้อมกับผักเครื่องเคียง
แอ๊บหมู ซึ่งก็คือหมกหมู คือแบบว่ามันอร่อยมากเราติดใจ แกงฮังเล อร่อยมากกกก ก็ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้กินไปได้ยังไง ถ้าท้องยังรับไหวนี่คงสั่งเพิ่มแน่ๆ สำหรับมื้อนี้จ่ายไปประมาณ 450 บาท แต่อิ่มมากกกก อร่อยมากกกกกกกกกก
อิ่มกันแล้วก็ไปเดินย่อยต่อที่ถนนคนเดิน ซึ่งถ้าใครมาเชียงใหม่แล้วไปเดินนี่เรียกได้ว่าไปไม่ถึงเชียงใหม่แน่นอนค่ะ
บรรยากาศที่นี่ก็เหมือนตลาดนัด ของที่ขายส่วนใหม่เป็นงานฝีมือ มีการแสดงความสามารถ ศิลปะวัฒนธรรมของคนบางกลุ่ม ส่วนใหญ่คนที่เห็นจะเป็นท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
หมดไปแล้ว 1 วัน รู้สึกเหนื่อยและเพลียมาก เราก็เลยกลับไปพักผ่อนกัน
สำหรับวันที่สองของทริปนี้เราจะเขียนแยกโพสต์นะคะ เพราะไม่อย่างนั้นหน้าจะยาวมากๆ จนคุณขี้เกียจอ่าน 🙂
รีวิววันที่ 2 เชียงใหม่หน้าฝน ชิลไปตามสภาพอากาศ(วันที่2)
sunday.morning