ในงานประชุมประจำปี Cybersecurity Weekend ครั้งที่ 5 ที่รวมนักวิจัย ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บริหารระดับสูงจาก 12 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้เปิดเผยว่า บริษัทกำลังจับตามองภัยไซเบอร์ที่คุกคามวงการแพทย์พร้อมเผยสถานการณ์ภัยไซเบอร์ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
นายสเตฟาน นิวไมเยอร์ กรรมการผู้จัดการภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “ดาต้ากำลังป่วย บันทึกความลับทางการแพทย์กำลังถูกรุกล้ำ ดีไวซ์ขั้นสูงกำลังเปลี่ยนมนุษย์ให้มีส่วนของร่างกายที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ แนวคิดต่างๆ นี้ได้ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างนิยายและความจริงไปเสียแล้ว ตอนนี้มันคือความจริง เกิดขึ้นจริงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก กระแส digitalisation ที่มาถึงภาคสาธารณสุขอย่างรวดเร็ว ทำให้อาชญากรไซเบอร์กำลังมองหาช่องทางเพิ่มเพื่อเข้าโจมตี ซึ่งต้องยอมรับว่า หน่วยงานทางการแพทย์ยังไม่พร้อมรับมือกับภัยออนไลน์รูปแบบนี้”
การโจมตีโรงพยาบาลและอุปกรณ์การแพทย์เกิดขึ้นแล้วทั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่ก้าวหน้าในฝั่งตะวันตก อย่างไรก็ตามในช่วงหลายปีหลังๆ มานี้พบภัยคุกคามที่รุกล้ำมายังฝั่งเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น มีรายงานคาดการณ์ว่า วงการแพทย์ในภูมิภาคนี้สามารถประสบเหตุโจมตีทางไซเบอร์และสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงถึง 23.3 ล้านเหรียญสหรัฐ
ประเทศสิงคโปร์ซึ่งถูกจัดให้เป็นศูนย์กลางธุรกิจและภูมิภาคของเอเชียได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์องค์กรทางการแพทย์ถูกรุกล้ำข้อมูลรวม 4 ครั้ง ในรอบ 12 เดือน เหตุการณ์หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับข้อมูลการแพทย์ของนายกรัฐมนตรีของประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ยังมีแรนซัมแวร์วอนนาคราย (Wannacry) ที่โจมตีหน่วยงานการแพทย์หลายแห่งในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะที่จีน ฮ่องกง และเวียดนาม
ผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยไซเบอร์จากทีมวิเคราะห์และวิจัยของแคสเปอร์สกี้ หรือทีม GReAT (Global Research and Analysis Team) กำลังเร่งตรวจสอบเพื่อเปิดโปงแคมเปญใหม่ที่คืบคลานเข้าโจมตีอุปกรณ์การแพทย์และสถานพยาบาลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและภูมิภาคอื่นๆ
นายวิทาลี คัมลัก หัวหน้าทีม GReAT ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผู้นำทีมนักวิจัยในครั้งนี้ กล่าวว่า “สถานการณ์ฝุ่นกัมมันตรังสีหลังระเบิดนิวเคลียร์เชอร์โนบิลมีแง่มุมที่เหมือนกับภัยคุกคามไซเบอร์ ด้วยตาเปล่าไม่สามารถมองเห็นรังสีจากเหตุการณ์ที่ผ่านมานานนับทศวรรษที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์จนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับภาคการแพทย์ที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยการแพร่ระบาดของภัยไซเบอร์ที่สร้างความเสียหายต่อวงการแพทย์และมีความเป็นไปได้ที่จะกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ ลักษณะของภัยคุกคามไซเบอร์นั้นยากที่จะมองเห็นก็จริง แต่คำถามสำคัญคือ เราได้พยายามมากพอหรือยังถึงจะเห็นว่าภัยคุกคามนั้นกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของเรา”
นายสเตฟานกล่าวเสริมว่า “วงการการแพทย์นั้นเป็นวงการที่สำคัญยิ่งยวดและมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าขณะนี้วงการแพทย์จะยังไม่ได้ตกเป็นเป้าหมายใหญ่อย่างธนาคาร แต่ก็มีเอกสารสำคัญรวมถึงบันทึกงานวิจัยขั้นสูงที่อาจเป็นเป้าหมายการโจมตีของอาญชกรไซเบอร์ได้”